วันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2554

มือซ้าย..ไม่ดีตรงไหน

    "เด็กดีต้องเขียนมือขวานะคะ" เสียงคุณครูดังแว่วมาแต่ไกล ฉันรีบเปลี่ยนดินสอไปไว้ในมือขวา ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ถนัดเอาเสียเลย... นั่นคือความทรงจำเมื่อ 40 กว่าปีก่อน



    ใช่แล้ว ฉันเป็นคนถนัดมือซ้าย  ตอนเด็กๆ ใครๆ เขาก็เขียนหนังสือมือขวากันทั้งห้อง มีแต่ฉันที่ไม่รู้ตัวเองว่าทำไมฉันถึงใช้มือขวาไม่ค่อยได้ จะหยิบจะจับสิ่งใดก็ใช้แต่มือซ้ายอยู่ร่ำไป  คุณครูในยุคก่อนก็จะเคร่งครัดบังคับให้เด็กเขียนหนังสือมือขวา ราวกับนี่คือกฎระเบียบสำคัญของชีวิต

   ฉันเขียนหนังสือมือขวาด้วยน้ำตานองหน้าเกือบทุกวัน จับก็ไม่ถนัด เจ็บปวดนิ้วไปหมด แต่คุณครูก็ไม่นำพา คอยเหลือบแลมาดูว่าฉันแอบใช้มือซ้ายหรือเปล่า ฉันกลับบ้านไปเขียนหนังสือเบี้ยวๆ บูดๆ ให้แม่ดู แม่ฉันถามว่า "ทำไมเขียนหนังสือแบบนี้"  ฉันบอกแม่ว่าฉันเขียนไม่ถนัด เพราะถนัดมือซ้าย

 แม่ฉันผู้มีนิสัยเป็นคนขวางโลก ได้เดินทางไปที่โรงเรียนและขอพบครูประจำชั้น คุณครูรีบรายงานว่า "กันทิมาชอบเขียนหนังสือมือซ้ายนะคะ ที่บ้านต้องคอยดูเขาด้วย"
  แม่บอกว่า "ไม่เป็นไรค่ะ ฉันจะมาบอกคุณครูว่า ฉันไม่ชอบให้ครูมาบังคับลูกฉัน เขาอยากเขียนมือซ้ายก็ให้เขาเขียนไป"
 คุณครูทำท่าตกใจ ราวกับได้ยินกาลิเลโอประกาศว่าโลกกลม "แต่เด็กทุกคนเขาเขียนหนังสือมือขวากันนะคะ" ครูเสียงเข้มขึ้น
"ปล่อยเขาไปเถอะค่ะ เขาชอบมือซ้ายก็ให้เขาใช้ไป" แม่ฉันผู้มีนิสัยตามใจลูก ประกาศอิสรภาพให้ฉันอย่างเสียงดังฟังชัด

   หลังจากวันนั้นคุณครูก็ไม่ค่อยชอบฉันเท่าไร  รวมทั้งเพื่อนฝูงในห้องที่เป็นพวกมือขวาสามัคคี ฉันไม่อยากเป็นแกะดำ หรือเป็นเด็กที่คุณครูไม่รัก ฉันจึงพยายามย้ายดินสอมาไว้ในมือขวา และเขียนหนังสืออย่างยากลำบากจนกระทั่งเขียนมือขวาได้สำเร็จ ซึ่งเป็นความทุกข์ระทมในวัยเด็กของฉันจริงๆ  
ทุกวันนี้หากใครได้เห็นฉันจับปากกา ก็จะเห็นว่าฉันจับปากกาด้วยท่าทางที่ไม่ถนัดเอาเสียเลย
  หลังจากฉันเขียนหนังสือด้วยมือขวาได้สำเร็จ ฉันเริ่มกลมกลืนกับคนอื่นได้บ้าง แต่ฉันก็ยังกินข้าวมือซ้าย เย็บผ้ามือซ้าย และทำอะไรด้วยมือซ้ายหมดทุกอย่าง   ซึ่งคนถนัดซ้ายในยุคนั้นใช้ชีวิตยากลำบากจริงๆ  เพราะไม่มีสินค้าใดที่คิดเผื่อไว้ให้คนมือซ้ายเลยสักอย่างเดียว กรรไกรในยุคนั้นนั้นทำช่องเล็กและช่องใหญ่สำหรับมือขวา คนที่ใช้มือซ้ายจะไม่สามารถยัดนิ้วลงไปได้เลย เตารีดก็ไม่สามารถรีดมือซ้ายได้ เพราะสายติดไว้สำหรับลากไปทางขวา และอีกหลายผลิตภัณฑ์ที่คนมือซ้ายไม่มีสิทธิ์ใช้

    กาลเวลาผ่านไปไม่กี่ปี ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ก็เข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทย มีข้อมูลชัดเจนว่าแท้จริงแล้วคนเรามีสมองสองซีก คือซีกขวาและซีกซ้าย ซีกขวาเป็นเรื่องของจินตนการ ซีกซ้ายเป็นเรื่องของเหตุผล  ซีกขวาควบคุมการเคลื่อนไหวด้านซ้าย และสมองซีกซ้ายควบคุมการเคลื่อนไหวด้านขวา คนเราจะถนัดซ้ายหรือขวาขึ้นอยู่กับการควบคุมของสมอง ไม่ใช่สิ่งผิดปกติแต่อย่างใด ในยุคหลังจึงไม่มีโรงเรียนไหนบังคับเด็กให้เขียนหนังสือมือขวาอีกต่อไป

  ทุกครั้งที่ฉันเห็นเด็กเขียนหนังสือมือซ้าย..ฉันจะยิ้มอย่างดีใจราวกับเห็นเงาในอดีตของตัวเอง

    ปัจจุบันคนถนัดซ้ายไม่ได้แปลกประหลาดอีกต่อไป กรรไกรได้ทำให้คนถนัดซ้ายใช้ได้แล้ว รวมไปถึงเตารีดที่เปลี่ยนสายมาไว้ตรงกลาง ทำให้คนมือซ้ายรีดผ้าได้สบายใจ

   ฉันเกิดเร็วไปก็จริง แต่ก็อยู่นานจนใช้มือซ้ายเบิกบานได้สำเร็จ

Paokuntima
30/04/2011

life is a fairy tale


ฉันเชื่อว่าพวกเราเกือบทุกคนเติบโตขึ้นมาพร้อมกับเทพนิยายเรื่องเจ้าชายเจ้าหญิงกาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ตามมาด้วยเรื่องเล่าของเจ้าชายรูปงามและเจ้าหญิงแสนสวย แล้วจบลงด้วยประโยคอมตะ...และทั้งสองก็ครองรักกันด้วยความสุขตราบนานเท่านาน...
เทพนิยายเรื่องเจ้าชายเจ้าหญิงเป็นแฟนตาซีของหญิงสาว เป็นเรื่องเล่าในหนังสือที่เด็กผู้หญิงแทบทุกคนเคยนึกฝันหวาน สนุกกับภาพในจินตนาการ จะมีที่ออกมาโลดแล่นเป็นตัวเป็นตนให้ได้เห็นก็ในละครบ้าง หนังบ้าง แม้บางเรื่องจะอิงเรื่องจริง แต่ส่วนหนึ่งก็แต่งเติมเสริมสีสัน
แต่เมื่อวานนี้ เทพนิยายเรื่องเจ้าชายรูปงามและเจ้าหญิงแสนสวยได้กระโดดออกมาจากหน้ากระดาษ มีเลือด มีเนื้อ มีตัวตน มีความรักและความสวยงาม ให้เราได้เห็นและร่วมเป็นพยาน
ฉันเฝ้าดูเทปพิธีเสกสมรสของเจ้าชายวิลเลียมและเคท มิดเดิลตัน ตั้งแต่สี่ทุ่มถึงตีหนึ่งด้วยความตื่นเต้น สนุกสนานกับการดูหมวกสารพัดสารพันของบรรดาแขกผู้หญิง และคิดว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้เห็นผู้หญิงสวมหมวกและเครื่องประดับผม/ศีรษะมากมายที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา (จนคิดว่าวันนี้อยากเป็นลาล่า ลูลู่ โปงลางสะออน เอาดอกไม้ยักษ์มาติดผมบ้าง)
ก่อนไปเรื่องความรักและเทพนิยาย ขอเมาท์เรื่องหมวกของเจ้าหญิงเบียทริกซ์หน่อย ตอนแรกฉันไม่รู้ว่าเธอคือใคร สงสัยว่าผู้หญิงคนนี้ใส่เขากวางมาทำไมเนี่ย พอเห็นปุ๊บในหัวก็มีเสียง ออดดดดด ดังขึ้นมาทันที ส่วนเจ้าหญิงยูจีเนีย แม้หมวกจะสวยงาม แต่เดรสวิเวียน เวสต์วู้ดชุดนี้ ใส่แล้วบ่งามเลยค่ะ --จบการเมาท์มอย--
กลับมาเรื่องเจ้าชายเจ้าหญิงกันต่อ การติดตามดูพิธีเสกสมรสของฉันเป็นไปอย่างเพลิดเพลิน โดยเฉพาะตอนที่ทั้งสองออกมาจากมหาวิหาร ขึ้นรถม้าเปิดประทุนกลับไปยังพระราชวัง โดยมีกองทหารม้านำหน้าและตามหลัง เจ้าชายเจ้าหญิงโบกมือให้กับประชาชนที่มาเฝ้าชื่นชม และส่งเสียงโห่ร้องแสดงความยินดีตลอดสองข้างทาง 

ภาพแสนสวย เรื่องแสนสุขแบบนี้เราเคยอ่านเจอแต่ในหนังสือ หรือเคยเห็นก็แต่ในหนังเท่านั้น การได้ชื่นชมเทพนิยายที่เป็นเรื่องจริงตรงหน้า จึงทำให้ฉันรู้สึกว่าแฟนตาซีส่วนตัวได้ถูกเติมเต็ม
ผู้หญิงทุกคนฝันจะเป็นเจ้าหญิง แม้ในความจริง ชีวิตเจ้าหญิงจะไม่ง่ายและสวยงามดังภาพที่เห็น
แต่ผู้หญิงทุกคนก็เป็นเจ้าหญิงและมีเทพนิยายของตัวเองได้
ขอเพียงให้เจอเจ้าชายเท่านั้นก็พอ     


มือของแม่

การกลับบ้านเกิดเมื่อช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาเพื่อร่วมงานอุปสมบทของหลานชาย แต่จุดหมายในใจของผมอย่างหนึ่งหรือจะพูดให้ถูกก็คือ ในทุกครั้งที่ได้เดินทางกลับไปบ้านเกิดนั้นคือการได้ไปจับแขนบีบมือ ดูสีหน้าและกอดแม่ ถามแม่ว่าสบายดีไหม ไม่ใช่แค่เพียงการส่งเสียงถามไถ่กันผ่านทางโทรศัพท์เหมือนเคย


ผมเป็นลูกชายคนเล็กที่สนิทกับแม่มาก เพราะผมกับพ่อวัยห่างกันอักโข ที่บ้านเรามีพี่น้องสิบคน แม่คลอดผมตอนอายุ 38 แต่ตอนนั้นพ่ออายุร่วม 50 แล้ว แม่จึงเป็นคนดูแลผมใกล้ชิดมากกว่าพ่อ ให้เงินส่งเสียจากการทำงานเป็นแม่ค้าร้านขายยา อบรมสั่งสอนเท่าที่เวลาของแม่ค้าลูกเยอะเรื่องแยะจะทำได้ คอยแก้ปัญหา หาหยูกยาให้เวลาทุกข์ใจหรือไม่สบาย กระทั่งหาข้าวปลาอาหารแต่ละวันให้ผมและพี่ๆ กิน


ด้วยความผูกพันกับแม่มาก ตอนเด็กๆ ผมเคยคิดว่าเราจะเป็นอย่างไรถ้าเกิดวันใดวันหนึ่งไม่มีแม่ โลกจะไร้ความน่าอยู่หรือความหมายเพียงใดถ้าไม่มีแม่ แต่แล้วพอเติบโตก็กลับกลายเป็นว่าไม่ใช่เราหรอกที่ไม่มีแม่อยู่ข้างกาย เพราะเรานั่นเองเป็นคนเดินจากท่าน มาสู่ระยะทางที่ห่างเหินเพื่อตามหาและใช้ชีวิตของตัวเอง

คุณแม่หนูเพิ่ม ประคำทองในวัน 78 โขกส้มตำให้ลูกชายกิน
มือของแม่ในวัยนี้วันนี้เหี่ยวย่นและหย่อนยานลงไปตามกาลเวลา แต่เมื่อได้สัมผัสก็รู้สึกได้ว่ายังมีพลังดีอยู่ จากการที่ท่านชอบทำอะไรด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะลงมือตำส้มตำทำกับข้าวกินเอง หยิบจับอะไรได้ด้วยตัวเอง ออกกำลังกายและไปวัดไปวา ซึ่งก็นับว่าเป็นบุญที่มือของแม่สื่อว่าท่านมีพลังและกำลังใจในการที่จะอยู่กับโลกและอยู่กับลูกต่อไปนานๆ


ไม่ใช่แค่ผมกับมือของแม่คนเดียวแน่ๆ ที่สื่อสัมผัสกันได้


ผมคิดว่าโลกนี้คงรู้สึกไร้และไม่น่าอยู่หากไม่มีมือของแม่มาป้อนข้าวป้อนนม ลูบสัมผัสถ่ายทอดความรักอันไร้ขอบเขตให้แก่ลูก คอยตบตีสั่งสอนเมื่อเราออกนอกลู่นอกทาง แต่ก็พร้อมจะโอบกอดและให้อภัย ด้วยเหตุนี้เราจึงได้เห็นการยกให้แม่เป็นใหญ่ในหลายๆ สิ่งที่มนุษย์โลกสร้างทำเป็นวิถี ไม่ว่าจะเป็นคำเรียกขาน แม่น้ำ แม่ทัพ แม่งาน แม่บ้าน แม่ครัว แม่ยก ฯลฯ ก็ล้วนแต่มีคำว่า "แม่" ที่บ่งบอกว่ามีความสำคัญต่อความคงอยู่ เป็นไป และความปกติสุขของทุกๆ สิ่ง


ผมสังเกตเห็นความเป็นแม่ และเรื่องราวของแม่ที่ผ่านเข้ามาสะดุดความรู้สึกผมอีกครั้งเมื่อนั่งดูละครโทรทัศน์เรื่อง "ดอกส้มสีทอง" ทางไทยทีวีสีช่อง 3 หลายเสียงบอกว่าละครเรื่องนี้แรงและมีเนื้อหาสะท้อนสังคม จากเรื่องราวของเรยา แอร์โฮสเตสสาวที่ดิ้นรนไปให้พ้นจากจุดที่ตัวเองเป็นอยู่ จากการเป็นลูกคนรับใช้และลูกแขกยาม ปีนป่ายตะกายหาความรัก แม้แต่กับผู้ชายที่มีเหย้ามีเรือนแล้วก็ไม่เว้น


ในละครเรื่องเดียวกันเราได้เห็นบทบาทและเรื่องราวของ "แม่" ที่หลากหลายมาก แม่อย่างลำยอง ซึ่งเป็นแค่คนรับใช้ เลี้ยงดูลูกด้วยความรักและความเกรงกลัวจนดูงกๆ เงิ่นๆ ปล่อยให้ลูกอย่างเรยาแหกปากตะคอก เรียกหาให้มารับใช้ได้อย่างเต็มใจ แม่อย่างคุณนายใหญ่ที่รักลูกชายคนเดียวของเธอ แต่ก็คาดหวังถึงการมีทายาท และการที่เขาจะไม่มีเมียน้อยให้เธอเจ็บช้ำน้ำใจอีก เหมือนที่ได้รับจากสามีที่มักมากเมียเยอะ แม่อย่างคุณนายที่สองของเศรษฐีเชงที่รักลูกสาวสองคนซึ่งไม่สนใจไยดีเธอ หนีไปอยู่อเมริกา และเรื่องของแม่อย่างเรยาที่ตั้งใจจะตั้งท้องกับผู้ชายที่เขาไม่ได้รัก เพียงเพราะว่าเธอคิดว่ารักและต้องการเขา


ผมดูละครเรื่องนี้แล้วได้คิดว่า เราจะไม่มีแม่ไม่ได้หรือไม่มีแม่มาก่อน ถ้าหากแม่นั้นไม่ได้เกิดจากสถานะของการเป็น "เมีย" (ไม่ว่าจะถูกกฎหมายหรือเป็นเมียเล็กเมียน้อยมาก่อน) และเมื่อเมียเปลี่ยนสถานะมาเป็นแม่ ก็ไม่ใช่แค่เพียงการเติบโตเปลี่ยนผ่านสถานะของผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น แต่มันอาจจะหมายถึงน้ำตาและความอดทน


"ความรักของแม่" ซึ่งดูเหมือนจะไร้ขอบเขตและเงื่อนไขที่จะรักลูก แท้จริงแล้วตัวคนเป็นแม่เองก็ต้องผ่านเรื่องราวหรือบททดสอบในชีวิตมามากมาย ทั้งจากโชคชะตา จากคนที่เป็นสามี จากกรอบทางสังคมและความคาดหวัง (ดังเช่นคำที่คนชอบพูดว่าเป็นแม่แล้วต้องรักลูก ขนาดหมามันยังรักลูกของมันเองเลย)


แต่ไม่ว่าจะตกอยู่ภายใต้กรอบหรือปัญหา ความไม่พร้อมนานาสารพัน แม่ทั้งในละครและแม่ของเราก็พร้อมจะรักและทำทุกอย่างให้ลูกได้ ขอเพียงให้ลูกยิ้มได้ มีความสุข เดินไปบนทางที่ขรุขระของโลกนี้ได้เต็มที่ เวลานั่งลงข้างๆ ลูก ได้บีบมือโอบไหล่กันแล้วสัมผัสได้ถึงสายสัมพันธ์และความรักที่มีต่อกัน


ผมดูละครเรื่องนี้ที่เต็มไปด้วยการชิงรักหักสวาท แต่ก็มองลงไปถึงเรื่องราวความรักของแม่ ซึ่งคงไม่ใช่เนื้อหาหลักที่ละครต้องการจะสื่อ...


แต่ก็ทำให้ผมอยากกลับไปนั่งดูละครข้างๆ แม่ กินส้มตำที่แม่ลงมือคลุกลงมือตำ และบีบมือจับแขน ถามไถ่ทุกข์สุขกันอีกหน









วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554

จุดไฟให้ความฝัน

ฉันคิดว่าหนึ่งในสิ่งดีที่สุดสิ่งหนึ่งของความเป็นมนุษย์คือการมีความฝัน
ความฝันในที่นี้ไม่ได้หมายถึงความฝันในยามหลับ แต่เป็นความฝันในยามตื่น เป็นความหอมหวานที่ทุกคนวาดขึ้นจากความปรารถนา 
บางฝันอาจละเมอเพ้อพก บางฝันน่าตื่นเต้น ขณะที่บางฝันไม่น่าเป็นไปได้


ฉันพบว่าความฝันเป็นสมบัติล้ำค่าของวัยเยาว์ เมื่อครั้งยังเด็ก เรามีความฝันมากมาย ฝันอยากเป็นโน่นเป็นนี่ ฝันจะเดินทางไกลรอบโลก ฝันอยากทำสิ่งยิ่งใหญ่ สิ่งดีงาม
แต่ยิ่งโต เรากลับค่อยๆ หลงลืมความฝัน เหมือนดาวค่อยๆ ดับลงทีละดวง
เราลืมเลือน เราละเลย หรือเราล้มเลิกกันแน่  

เพื่อนหลายคนเปรยว่าเหนื่อย อยากหยุดพัก อยากเดินทาง อยากมีชีวิตอย่างที่เคยฝันไว้ แต่ก็ไม่ได้ทำและทำไม่ได้ ด้วยภาระที่ต้องรับผิดชอบ ทั้งต่อหน้าที่การงานและครอบครัว  
ใช่หรือไม่ที่ว่า ยิ่งอายุมากขึ้น เรายิ่งกล้าเสี่ยงน้อยลง

สามปีที่แล้วฉันได้สัมภาษณ์โอ๊ต-กิตติพงษ์ กองแก้ว หนุ่มไทยที่ปั่นจักรยานจากเมืองไทยไปลาซา ผ่านการแชทกันทาง msn โอ๊ตเล่าว่าแม้จะสนุกกับงานและเพิ่งได้เลื่อนตำแหน่ง แต่ก็ตัดสินใจลาออกเพื่อออกไปดูโลก และทำตามความฝันของนักปั่นทั่วโลก ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตจะค่อยๆ เคลื่อนไปบนเส้นทางสูงชัน สู่จุดหมายปลายทางคือทิเบตด้วยพาหนะสองล้อ

โอ๊ตออกเดินทางตามคำชวนของเพื่อนชาวฮ่องกง--เหยาหวังก้อง--ที่ชวนกันไปหาทำเลเปิดร้านกาแฟที่ลาซา เขาและเพื่อนใช้ชีวิตสุดทรหดบนอานจักรยาน ปั่นขึ้นลงภูเขาลูกแล้วลูกเล่าวันละไม่ต่ำกว่า 75 กิโลเมตร ตั้งแต่สิบโมงเช้าถึงหกโมงเย็น หนาวเหน็บ เหนื่อยยาก เนื้อตัวระบม เป็นเช่นนี้ติดต่อกันเป็นเวลา 5 เดือน ในที่สุดทั้งสองคนก็ไปถึงลาซาสมดังความมุ่งหมาย
โอ๊ต (ซ้าย) และก้อง (ขวา) ที่ลาซา

ล่าสุดโอ๊ตเพิ่งกลับมาเมืองไทย หลังจากเปิดร้านกาแฟ Spinn Café ใจกลางลาซาโอลด์ทาวน์ได้เกือบ 5 ปี ร้านเล็กๆ ของโอ๊ตและก้องกลายเป็นคอมมูนิตี้ของนักท่องเที่ยวและคนรักจักรยานจากทั่วโลก 

การตัดสินใจพิชิตหลังคาโลกในวันนั้นได้เปลี่ยนชีวิตโอ๊ตไปตลอดกาล (อ่านเรื่องราวการผจญภัยบนอานจักรยานของโอ๊ตได้ในหนังสือ ทิเบตสองขา)

ปลายปีที่แล้วรุ่นน้องจากเชียงใหม่ อ้อม-ศิริวรรณ  โลหาชีวะ โทรศัพท์มาบอกว่าจะขอมาพักที่บ้าน เพื่อจัดการเรื่องวีซ่าไปอังกฤษให้เสร็จ ฉันคิดว่าอ้อมจะไปเที่ยว จนเมื่อเจอกัน อ้อมบอกว่าจะไปเรียนต่อ 1 ปี

อ้อมเปิดร้าน Things Called Art ที่เชียงใหม่กับวิว เพื่อนร่วมชีวิตนับตั้งแต่เรียนจบมากว่าสิบปีแล้ว ฉันสงสัยว่าอะไรทำให้คนในวัยต้น 30 ที่สลัดชุดนักศึกษามาแล้วไม่ต่ำกว่าสิบปี มีบ้าน มีกิจการที่ต้องดูแล มีคนรักร่วมชีวิต จู่ๆ คิดจะไปเรียนต่อ

คำตอบของอ้อมทำให้หัวใจฉันเบิกบาน

สี่ปีที่แล้วอ้อมเคยจดบันทึกสิ่งที่ตัวเองปรารถนาอยากทำให้สำเร็จ นอกจากการอ่านโน้ตให้เป็นและหัดเล่นเปียโน ซึ่งอ้อมได้ทำและทำได้มาหลายปีแล้ว อีกหนึ่งฝันคือการไปลองใช้ชีวิตในต่างแดน และพัฒนาภาษาอังกฤษของตัวเองให้ดีขึ้น อ้อมตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องทำให้ได้ภายในปี 2012

ก่อนปี 2011 จะมาถึงเพียงเดือนเดียว อ้อมก็ขึ้นเครื่องบินไปเผชิญความหนาวเหน็บและโลกแปลกหน้าที่อังกฤษเพียงลำพัง
เหงา เศร้า คิดถึงบ้าน แต่อ้อมยังคงมุ่งหน้าไปหาความฝันและเป้าหมายที่ตั้งใจไว้

ฝันของโอ๊ตช่างสูง ฝันของอ้อมช่างหนาว แต่กลับรู้สึกอบอุ่นเมื่อได้รับรู้ เพราะฝันหนึ่งช่วยต่อเติมไฟให้อีกฝันหนึ่ง ให้ลองค้นเข้าไปในซอกหลืบของชีวิต สำรวจตรวจหาความฝันที่ตกค้าง

ความฝันมีอยู่จริงและยังไม่มอดดับ
เพราะฝันเป็นของเรา ใครก็แย่งไม่ได้
และฝันที่เป็นของเรา ใครก็ทำให้ไม่ได้
นอกจากตัวเราจริงๆ




"ไฟล์ขยะ"ที่กลายเป็นเงิน

   ฉันมีเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งที่สนิทสนมกันมานานหลายปี เธอเป็นสาวผิวดำ ชื่อเล่นว่า "เหมี่ยว" ชื่อจริงคือ พัชราภรณ์ ปาละกวงศ์ ณ อยุธยา บ้านเกิดปู่ย่าตายายคืออยุธยาแท้แน่นอน เรื่องราวของเหมี่ยวไม่ธรรมดาไม่เชื่อคุณลองอ่านต่อไป

   เรื่องแรกที่สร้างปรากฎการณ์ช็อคโลกก็คือ "เหมี่ยว คนดำ" กล้าหาญไปสมัครงานเป็นพีอาร์บริษัทโฆษณายักษ์ใหญ่อย่างลินตาส (ชื่อเดิมในสมัยนั้น) แม้เพื่อนฝูงจะตักเตือน  แต่เหมี่ยวไม่นำพา  ใครๆ ก็รู้ว่าคนที่จะเป็นพีอาร์ต้องสาว ขาว และสวย แต่เหมี่ยวได้ทำลายขนบความเชื่อนี้อย่างสิ้นเชิง เมื่อลินตาสรับเธอเข้าทำงาน เหมี่ยวคือพีอาร์ที่ดำและไม่สวยคนแรกของบริษัทเลยก็ว่าได้  แต่ที่สำคัญคือเหมี่ยวสามารถหาลูกค้าได้มากกว่าพีอาร์ที่สวยกว่าเธอหลายเท่า

   เหมี่ยวเคยแกล้งลองใจถามลูกค้าว่า "ถ้าให้เลือกระหว่างพีอาร์ที่ตัวขาวสาวสวยกับพีอาร์ที่ตัวดำและไม่สวย ทำงานดีเท่ากันเลยนะคะ ลูกค้าจะเลือกใคร"  ลูกค้าตอบแบบไม่ลังเล "เลือกพีอาร์ขาวครับ"
   "นั่นไง ฉันคิดแล้ว คนดำอย่างพวกเรา (เธอหมายรวมฉันเข้าไปด้วย) ยังไงก็สู้พวกตัวขาวไม่ได้"
   "ไม่จริงหรอก" ฉันปลอบใจไปตามประสา
   "คนเราไม่อยู่ที่สีผิว หากจะขาวต้องขาวอย่างมีคุณธรรม หากจะดำต้องดำอย่างมีคุณภาพ" เหมี่ยวหัวเราะชอบใจ เธอชื่นชอบก็อปปี้โง่ๆ อันนี้ของฉันมาก และเดินหน้าหาลูกค้าอย่างมั่นใจต่อไป

   มีคนสงสัยเหลือเกินว่าทำไมลูกค้าถึงได้ชอบสนทนากับเหมี่ยว และแห่แหนกันซื้องานจากพีอาร์ผิวดำคนนี้กันอย่างคับคั่ง ฉันผู้เป็นคนสนิทนั้นรู้ความลับข้อนี้เป็นอย่างดี เหมี่ยวเป็นคนมีความจำดีเลิศ เธอจำได้แทบจะทุกเรื่องบนโลกใบนี้ ตั้งแต่หนังสือแบบเรียนเร็ว ชั้นเตรียมประถม ไปจนถึงหลักศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง เธอขยายอาณาจักรความจำไปถึงวงการภาพยนตร์ เพลง ละคร ขนม อาหาร ไปจนถึงต้นไม้ใบหญ้า แม้แต่ข่าวฆาตรกรรมเธอก็จำได้  คำติดปากของเธอคือ "เหมี่ยวรู้ค่ะ" "เหมี่ยวจำได้ค่ะ"

  เหมี่ยวมักจะภูมิใจและเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า "ความรู้" แต่พวกเราเรียกว่า "ไฟล์ขยะ" กุ้ง กันทิมา (กิจเจริญ) ถึงกับเคยแนะนำเธอว่า "พี่เหมี่ยวต้องดีลีทไฟล์ขยะออกจากหัวบ้างนะ" เหมี่ยวพยายามอยู่ไม่กี่วัน และเธอก็ขนไฟล์ขยะเข้าไปในสมองต่อไป

  ไฟล์ขยะเหล่านี้แหละที่สร้างแรงดึงดูดให้ลูกค้า ไม่ว่าลูกค้าจะถามเรื่องอะไร เธอตอบได้หมดทุกเรื่อง ซึ่งฉันมั่นใจว่าไม่มีพีอาร์คนไหนจะตอบปัญหาบ้าบอคอแตกได้หมดทุกเรื่องเท่า "เหมี่ยว"

  ครั้งหนึ่งบรรดาลูกค้าได้เชิญชวนกันเลือกขนมไทย ลูกค้าคนหนึ่งหยิบทองหยอด พีอาร์คนอื่นอาจบอกว่า "ทองหยอดเจ้านี้อร่อยนะคะ" "รสชาติดีมากเลยค่ะ" ทุกคนพูดกันประมาณนี้ แต่ไม่ใช่เหมี่ยว
เธอทอดสายตามองลูกค้าและพูดขึ้นว่า

  ทองหยอดทอดสนิท ทองม้วนมิดคิดความหลัง
  สองปีสองปิดบัง        แต่ลำพังสองต่อสอง
  ลูกค้าเกิดอาการจังงังไปชั่วขณะ เขาเดินต่อไปและหยิบทองหยิบขึ้นมา เหลือบมองมาที่เหมี่ยวอย่างหยั่งเชิง เหมี่ยวยิ้มอย่างผู้มีชัย

"ทองหยิบทิพย์เทียมทัด  สามหยิบชัดน่าเชยชม
หลงคิดว่ายาดม              ก้มหน้าเมินเขินขวนอาย"

 " โห  คุณเหมี่ยวเก่งจังครับ" พวกลูกค้าต่างประทับใจในความรอบรู้ของเหมี่ยว พวกเขาแทบไม่เชื่อว่าในโลกนี้ยังมีคนจำกาพย์เห่เรือชมเครื่องคาวหวานได้ขึ้นใจ ลูกค้าส่วนใหญ่ได้ซื้องานจากเหมี่ยวเพราะปลาบปลื้มในความเก่งกาจของเธอนี่แหละ ไฟล์ขยะในสมองเหมี่ยวนั้นแปรค่าเป็นเงินได้มหาศาลจริงๆ

   ทุกวันนี้เหมี่ยวยังคงใช้ไฟล์ขยะทำเงิน ข้อมูลรกๆในสมองของเธอ ถูกรื้อค้นมาใช้ในการคิดงานพีอาร์ได้มากมาย ในบางวันเธอจะโทรหาฉันเพื่อดวลไฟล์ขยะกัน

"พี่เป้า..เหมี่ยวขอถาม..ปริศนา นามสกุลอะไร"
"ปริศนา ที่หมิวเล่นน่ะ มีนามสกุลด้วยเหรอ"
"ใช่"  ไฟล์ขยะในสมองฉันเริ่มทำงาน แต่หาข้อมูลไม่เจอจึงต้องยอมจำนน
"ปริศนา สุทธากุล" เหมี่ยวเฉลย
"แล้วแมวของซาโยจัง ในเรื่องเณรน้อยเจ้าปัญญาชื่ออะไร" ฉันไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
"ทามะ" เธอตอบอย่างไม่ต้องคิด
"ใครเป็นคนขโมยเพชรซาอุ" ฉันยังไม่หายเคือง
"เกรียงไกร เตชะโม่ง"  เหมี่ยวตอบรวดเร็ว ฉันเริ่มจะจนมุม
"ม้าของลิโป้ในเรื่องสามก๊กชื่ออะไร" ฉันยิงคำถามเด็ด เธอเงียบกริบ
"ไม่รู้"
"ชื่อเซ็กเทา" ฉันตอบอย่างมีชัย
  การดวลไฟล์ขยะของเราถือเป็นเรื่องเฉือนคมกันจริงๆ แต่ฉันสู้เหมี่ยวไม่ได้แน่นอน เพราะไฟล์ขยะของเหมี่ยวเป็นระดับวงษ์พาณิชย์ ส่วนฉันแค่ขยะซาเล้ง พวกเราไม่รู้เลยว่าเราจะจำและจะรู้เรื่องพวกนี้กันไปทำไม แต่แม้จะพยายามลบไฟล์ขยะออกจากสมองเท่าไร เราก็ลบไม่ออกเสียที

"พี่เป้า พ่อแม่ของพระเจ้าตากสินชื่ออะไร"
"ชื่อนายไหฮอง กะนางนกเอี้ยง"
"เก่งจัง" เธอชมฉันแล้ววางสายโทรศัพท์ไป เพื่อวันพรุ่งนี้จะโทรมาใหม่เพื่อถามคำถามไร้แก่นสารพวกนี้ต่อไป

   ในชีวิตเราอาจมีไฟล์ขยะซุกซ่อนอยู่มากมาย บางทีเราไม่จำเป็นต้องกำจัดมันออกไป เพราะบางวันเราอาจจำเป็นต้องใช้..และอาจแปรค่าเป็นเงินทองก็ได้ในวันหนึ่ง ดูจาก"เหมี่ยว"เป็นตัวอย่าง (ปัจจุบันเหมี่ยวเป็นเจ้าของบริษัท ไอเดียอะฮอลิค จำกัด และยังคงมีลูกค้าตามติดเธออย่างคับคั่งเหมือนเดิม)

  วันนี้คุณสะสมไฟล์ขยะแล้วหรือยัง

^ ^
Paokuntima

วาล์วของวัน

ร่างกายของคนเรามีน้ำอยู่ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ อาจเพราะมีองค์ประกอบของน้ำในกายมากกว่าเนื้อนี่เองกระมังเราจึงพบว่าคนเราจึงมีภาวะ "ขึ้นๆลงๆ" ของความรู้สึกไม่แตกต่างจากการหลากไหลของสายน้ำ หรือกระแสคลื่นของทะเล

ภาวะขึ้นลงของคนเราเองก็มีหลายอย่างและหลายสาเหตุ แต่ส่วนใหญ่จากการใช้ชีวิตนานถึง 8 - 10 ชั่วโมงต่อวันในการทำงาน (ในกรณีที่มีงานการทำหรือมีความรับผิดชอบอื่นใดในชีวิตยามตื่น) คนเราจึงต้องพึ่งพิงความรู้สึกที่ได้รับจากการทำงานไม่น้อย หรือยิ่งกว่านั้น ถ้าพูดให้ถูกก็คือคลื่นในใจ กระแสน้ำในกายเราย่อมจะถูกกระทบจากเรื่องราวหลายสิ่งที่ต่อเนื่องมาจากทำงานได้มากหรือง่ายดายกว่าเรื่องอื่นๆ

เมื่อเครียดแล้วทำอย่างไร...เมื่องานหนักจนแบกรับไม่ไหวทำอย่างไร...เมื่อสนุกกับงานมากจนหยุดคิดหยุดทำไม่ไหวแล้วจะทำอย่างไร...เมื่อต้องประชุมๆๆๆ บ่อยๆ ควรทำอย่างไร และหากมีปัญหาในเรื่องการงานให้ต้องครุ่นคิดแล้วคิดไม่ตก แก้ปัญหาไม่ได้ จะทำอย่างไร...

.................................
เลือดที่ไหลเวียนในร่างกายของคนเราน่าจะมีปริมาณมากมาย และเลือดนี่เองเป็นประจักษ์พยานที่ชัดเจนว่าของเหลวเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการก่อร่างสร้างกายเราขึ้นมา

ขณะที่หัวใจปั๊มเลือดแดงสดใหม่ที่เต็มไปด้วยปริมาณออกซิเจนออกไปเลี้ยงเซลล์สมองและทุกอณูทั่วร่างกายเราให้มีเรี่ยวมีแรงออกไปสู้โลก สู้การงานและใช้ชีวิต เส้นเลือดดำก็กำลังพาเลือดเก่าที่ผ่านการใช้แล้วไหลย้อนวนกลับคืนสู่หัวใจเพื่อให้ห้องหัวใจทั้งสี่ฟอกเลือดให้สดใหม่ใสซิง มีประโยชน์ต่อร่างกายได้อีกครั้ง

ในเส้นเลือดดำหรือ vein นี่เองมีลิ้นหรือวาล์ว (valve) ของเส้นเลือดอยู่ทั่วไปหลายแห่งเพื่อทำหน้าที่ไม่ให้เลือดไหลย้อนกลับในทางเดิมได้ หากแต่ให้พุ่งตรงเข้าสู่หัวใจเพื่อเติมอาหารเติมอากาศแล้วกลายเป็นเลือดแดงหล่อเลี้ยงร่างกายได้อีก

วาล์วของเส้นเลือดหรือวาล์วของลิ้นหัวใจ อาจเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น แต่เรารู้ดีว่ามีอยู่และเป็นกลไกเล็กๆ อันน่ามหัศจรรย์และมีคุณประโยชน์ยิ่งของชีวิต
.................................
เมื่อเช้าก่อนออกจากบ้าน ลองเช็คดูหรือยังว่าเราปิดวาล์วหัวแก๊สในครัวแน่นสนิทดีหรือยัง ไหนจะวาล์วก๊อกน้ำ หรือวาล์วอื่นๆ อีก...

วาล์วอันเป็นเครื่องมือหรือกลไกที่เป็นรูปธรรมที่คนเราคิดขึ้นมาใช้เพื่อหยุดหรือปิดกั้นสิ่งต่างๆ ไม่ให้เดินต่อไปหรือปล่อยออกมาโดยไม่ต้องการ ก็เพื่อความปลอดภัยของการใช้งานสิ่งต่างๆ และให้การดำเนินชีวิตดำเนินไปปกติ ไม่ให้มากเกินไปหรือหยุดยั้งลงเมื่อได้สิ่งนั้นตามที่ต้องการแล้ว

ลองถามตัวเองว่าจะดีไหมที่แต่ละวันเราจะสามารถหยุดคิด หยุดทำ หรือปิดสิ่งต่างๆ ในชีวิตการงานที่ว้าวุ่นและเคร่งเครียดลงได้อย่างแน่นหนาและสนิทพอด้วย "วาล์ว" อย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ปล่อยให้ความเครียด ความวิตกกังวลหรือแม้แต่ความสนุกผูกพันกับการงานจนเกินไป กับเรื่องราวอื่นใดจนแยกเวล่ำเวลาไม่ออก ไม่ให้ไหลย้อนกลับมากลบทับสลับสับสนกันไปมา เพียงเพราะว่าเราไม่รู้ที่จะหยุดหรือปิดวาล์วลง

หากหาวาล์วในแต่ละวันของเราได้ แล้วขันวาล์วนั้นให้ปิดสนิทแน่นหนา ชีวิตไม่ว่าจะเป็นในการทำงานหรือด้านอื่นๆ ก็น่าจะแข็งขันและเต้นอย่างมีจังหวะจะโคนได้ดีไม่ต่างๆ จากการเต้นของหัวใจ...
เย็นวันศุกร์นี้อย่าลืมหาวาล์วและปิดวาล์วกันนะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2554

หมวยแห่งสยาม

รูปฉันน่ารักและตาโตเกินจริงรูปนี้วาดโดยคุณน้อยหน่า 

ฉันเป็นลูกคนจีนค่ะ แค่มองตาก็รู้แล้ว ไม่ทันต้องถามชื่อแซ่ ยิ่งพอบอกชื่อเล่นเป็นอันคอนเฟิร์มว่าจีนชัวร์
ตอนเด็กๆ ใครถามชื่อเล่นไม่ค่อยอยากบอก จี๊นจีน ไม่เก๋เอาซะเลย นึกสงสัยว่าทำไมพ่อแม่ไม่ตั้งชื่อน่ารักๆ เหมือนลูกพี่ลูกน้องวัยไล่เลี่ยกันบ้าง เค้าชื่อนิ้ง หน่อง นุก งี้ ทันสมัยกว่าชื่อหมวยตั้งเยอะ
แต่ชื่อเล่นเบๆ ของฉันก็มีมุกฮาอยู่เรื่องหนึ่ง ตอนอายุไม่น่าจะเกิน 10 ขวบ แม่ใช้ให้ไปซื้อผักที่ตลาด ความที่เป็นเด็ก ฉันไม่กล้าถามหาผักจากแม่ค้า เพราะยำเกรงเหล่าแม่ค้าเสียงดังพูดห้วน จำได้ว่าระหว่างยืนงงอยู่หน้าแผง กำลังมีสมาธิกับการเล็งหาผักที่แม่บอกให้ซื้อ ฉันได้ยินเสียงแม่ค้าที่นั่งอยู่บนแผงถามว่า เอาอะไรหมวย
บอกตามตรงว่างงมาก ฉันละสายตาจากนานาผักใบเขียวขึ้นสบตาแม่ค้า ดวงตาตี่ๆ มีแววสงสัย คำถามผุดขึ้นในหัวสมองทันที ทำไมเค้ารู้จักชื่อเราด้วย
กระนั้นแววตาของเจ้าของเสียงกลับไม่ได้ทีท่าว่ารู้จักฉันแม้แต่น้อย
ฉันเฝ้าเก็บงำความสงสัยว่าเหตุใดแม่ค้าถึงรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของฉัน กว่าจะได้คำตอบก็โตขึ้นจนพอรู้ความว่า แท้จริงแล้วแม่ค้ามิได้รู้จักฉันแม้แต่น้อย เขาเห็นเด็กจีนหน้าตาซินตึ๊ง ก็เหมารวมเรียกตี๋เรียกหมวยเป็นคำกลางๆ ก็เท่านั้นเอง
พอเริ่มเข้าวัยรุ่น พี่ชายสองคนคงไม่ชอบชื่อเล่นของตัวเองเหมือนกัน เพราะได้ยินเพื่อนๆ เรียกพี่ว่าเนศกับนิต มาจากพยางค์สุดท้ายของชื่อจริงคือธเนศและธนิต ฟังเสียงดูแล้วก็เก๋ไก๋ใช้ได้ แต่ฉันช่างไร้วาสนา เพราะชื่อจริงว่าธนาพร จะให้เพื่อนเรียกว่าพร ฉันว่าไม่ผ่าน มีอันต้องชื่อหมวยเหมือนเดิม
ตอนนี้พี่สองคนแต่งงานและมีลูกแล้ว พี่คนโตตั้งชื่อลูกชายว่ามีน พอมีลูกสาว พี่ชายตั้งชื่อว่าจีน ส่วนพี่ชายคนรองตั้งชื่อลูกสาวคนแรกว่านีร (อ่านว่านีน แปลว่าน้ำ)
ฉันบอกพี่ๆ ว่าทำไมลูกหลานบ้านเรามีแต่ชื่อสระอีน เสียงมันใกล้เคียงกันมาก เวลาจะเรียกใครที อาจสับสนได้
ฉันและอิทปล่อยมุกชั่วออกไปว่า บ้านเรามีหลานชื่อมีน จีน และนีรแล้ว ถ้าเราสองคนมีลูก เพื่อความคล้องจอง ควรตั้งลูกชื่อว่า ตีน
โชคดีที่ไม่มีเด็กโชคร้ายคนไหนเกิดมาเป็นลูกฉัน จึงยังไม่มีเด็กคนไหนถูกตั้งชื่อว่าตีน (หรือว่ามี ใครจะรู้)

เพื่อนผมเป็นลาว

เสาร์ที่ผ่านมาแม้ฟ้าจะร้องฝนจะเทลงมาอย่างกับฟ้ารั่ว แต่ผมก็มีนัดกับเพื่อน ต้องออกไปเจอเพื่อนและเพื่อนผมที่ว่า เป็นคนลาว...

หลายปีก่อนสักประมาณปี 2540 - 2542 ผมยังทำงานเป็นผู้สื่อข่าวสายสิ่งแวดล้อมให้หนังสือพิมพ์รายวันฉบับหนึ่งอยู่ในตอนนั้น ผมได้ข่าวว่าจะมีการจัดประชาพิจารณ์โครงการก่อสร้างเขื่อนน้ำเทิน 2 บนที่ราบนากาย ตอนกลางของลาวที่อุดมสมบูรณ์ เป็นที่อยู่ของชนกลุ่มน้อยและบ้านของธรรมชาติและสัตว์ป่า การประชาพิจารณ์ครั้งนั้นจัดขึ้นที่กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ของ สปปล. ในกรุงเวียงจันทน์ ผมจึงได้ออกเดินทางไปอย่างเดียวดายด้วยรถไฟจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่หนองคายเพื่อข้ามฝั่งไปรายงานข่าวนี้

ในตอนนั้นการข้ามฝั่งเข้าสู่ดินแดน สปป.ลาวนั้นมิได้ง่ายดายแค่การถือหนังสือเดินทางหรือไปขอใบอนุญาตข้ามแดนหรือ Border Pass แค่ชั่วเวลาไม่นานเอาที่ด่านฝั่งโน้นโดยไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายมากมายเหมือนทุกวันนี้ นอกจากอาจจะต้องทำวีซ่าหรือขอใบ Border Pass กันล่วงหน้าแล้วยังจะต้องมี "คนลาว" เป็นคนเซ็นหนังสือรับรองให้เราอีกด้วย

ผมลงจากรถไฟในตอนเช้าตรู่วันนั้นแล้วจัดการพาตัวเองไปทำเรื่อง Border Pass กับตัวแทนที่ทำหน้าที่จัดการเรื่องนี้ให้ทางฝั่งบ้านเราด้วยค่าใช้จ่ายหลายร้อยบาท แต่แล้วเมื่อข้ามฝั่งไปถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองที่ด่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ผมจึงได้พบความกลัดกลุ้มใหม่คือการที่จะต้องมีคนลาวเซ็นรับรองให้เดินทางเข้าเวียงจันทน์ต่อไปได้ในฐานะนักท่องเที่ยว (ผมคงเปิดเผยตัวเองไม่ได้หรอกครับว่าจะมาทำข่าวสิ่งแวดล้อม)

ผมได้รับความเอื้ออารีจากหนุ่มลาวคนหนึ่งชื่อว่าต้อ ซึ่งเดินทางจากกรุงเทพฯ ด้วยรถไฟขบวนเดียวกันกับผม ผมเองพอจะคุ้นหน้าคุ้นตาเขาอยู่ แต่ไม่ได้ทักทายหรือเอ่ยปากพูดคุยอะไรกันมาก่อน จนเมื่อผมพบปัญหาที่ว่า ต้อเป็นคนที่หยิบยื่นความช่วยเหลือช่วยเซ็นหนังสือรับรอง และยังเอ่ยชวนให้ผมติดรถที่มารับเขาเข้าไปในตัวเมืองเวียงจันทน์ที่อยู่ห่างจากด่านสะพานร่วมๆ 30 กิโลเมตรด้วยกัน

ในช่วงสองสามวันของการทำงานในประเด็นที่อ่อนไหวและมีเนื้อหาค่อนข้างหนักหน่วงในเวียงจันทน์ ผมมีโอกาสได้ไปกินข้าวที่บ้านของต้อ ซึ่งเขาอาศัยอยู่กับพ่อตาแม่ยายและภรรยาที่เพิ่งแต่งงานกันได้ไม่นาน เป็นโอกาสดีที่ผมได้ไปเห็นชีวิตความเป็นอยู่และได้สัมผัส "คนลาว" ใกล้ชิดยิ่งขึ้น

แล้วเวลาก็ผ่านมาเป็นสิบๆ ปี แม้ไม่ได้ตั้งใจแต่ผมก็ไม่ได้ติดต่อกับเพื่อนคนนี้อีก เพราะไม่ได้มีโอกาสไปเวียงจันทน์นานๆ เป็นเรื่องเป็นราว ที่อยู่ของเพื่อนหรือเบอร์โทรในเวียงจันทน์หรือก็ไม่ได้เก็บเอาไว้ จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อปลายปี 2553 ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้กลับไปเวียงจันทน์เพื่อทำงานบางอย่าง (ซึ่งไม่ใช่การไปเป็นนักข่าว) ถึงสิบวัน ผมก็เกิดความคิดว่าน่าจะไปตามหาหรือถามหาเพื่อนคนนี้ดูสักหน่อย เพราะผมจำได้คร่าวๆ ว่าเขาทำงานอยู่ที่สำนักงาน อย. ของลาวและภรรยาของเขาเป็นแม่ค้าขายผ้าซิ่นอยู่ตลาดแห่งหนึ่งซึ่งเป็นชุมชนใหญ่ชานเมืองเวียงจันทน์ก่อนจะออกไปทางด่านสะพาน

วันหนึ่งหลังจากเสร็จธุระการงานอันไม่เร่งรัด ผมก็เดินเข้าไปสอบถามหาเพื่อนที่ อย. เวียงจันทน์ โดยถามหาคนชื่อนี้ (ผมจำได้แค่ชื่อจริงและชื่อเล่นของเพื่อน) ปรากฏว่าได้คำตอบว่าไม่มีคนชื่อนี้ แต่ก็ยังดีที่เจ้าหน้าที่ที่ผมไปติดต่ออีกคนเกิดจำขึ้นมาได้ว่า "ท้าว..." ชื่อนี้คนนี้ได้ย้ายไปประจำอยู่อีกหน่วยงานหนึ่งที่เกี่ยวข้องกัน ผมจึงได้ฝากรายละเอียดติดต่อผมไว้ให้ และขอให้ช่วยติดต่อเพื่อนคนนี้ด้วยว่าผมมาทำงานที่เวียงจันทน์และถ้าเป็นไปได้ก็น่าจะได้พบกันอีก

ต้อติดต่อกลับมาในเย็นวันนั้นพร้อมกับมาเจอผมหลังจากเลิกงาน ระยะเวลานานที่ไม่ได้เจอกันทำให้เพื่อนแปลกใจไม่น้อยที่จู่ๆ เรามีโอกาสได้พบกันอีก ตอนนี้เขาดูมีอายุขึ้น อ้วนขึ้น มีฐานะดีขึ้น ทั้งหน้าที่การงานและธุรกิจส่วนตัวที่ทำ ซึ่งตอนนี้ขยับขยายมาเปิดร้านขายยาในตลาดที่เดิมที่ภรรยาเขาเคยขายผ้าซิ่นเป็นคนดูแล และตอนนี้เขามีลูกสาวถึง 3 คนแล้ว และใช้ชีวิตในบ้านหลังใหม่ที่ใหญ่โต

แต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไปสำหรับเพื่อนคนลาวผมคนนี้ก็คือการงานและชีวิตที่ยุ่งยากมากขึ้น แม้ว่าจะมีบ้านหลังโต ธุรกิจที่ทำอยู่จะเป็นไปได้ดี ได้เดินทางไปต่างประเทศอย่างเกาหลีเพราะร้านขายยาทำยอดได้ดี แต่ก็มีความเครียดและหน้าตาที่ดูโรยแรง มีเรื่องกลัดกลุ้ม ให้คิดมากมาย

ผมได้แต่ฟังเขาเล่าเรื่องราวถึงความเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาหลายๆ ปีที่เราไม่ได้ติดต่อกัน...

หลายเดือนต่อมาในวันที่ฝนฟ้าตกหนักก็เป็นวันที่นัดหมายของผมกับเพื่อนคนนี้ที่เขาโทรฯ มาบอกล่วงหน้าแล้วว่าจะเข้ามากรุงเทพฯ และพาญาติผู้น้องอีกคนเข้ามาดูที่เรียนต่อเพื่อเป็นช่างทำผม ทำให้นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ผมจะได้มีโอกาสพบกับเพื่อนที่เมืองไทยและที่กรุงเทพฯ บ้าง

เพื่อนผมเปิดโรงแรมพักย่านสีลมเอาตามสะดวกเพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะเลือกพักย่านไหนดี เมื่อเราได้เจอกัน ผมก็ชักชวนเขาว่าอยากจะพาเขาไปเลี้ยงข้าวสักมื้อ หรือหาที่นั่งจิบอะไรพูดคุยกันไป จากถนนสุรวงศ์ที่เขาพักเราพากันเดินลัดเลาะผ่านย่านพัฒน์พงษ์ที่เต็มไปด้วยบาร์และอะโกโก้คลับ มีคนมากมายเดินมากวักมือเรียกร้องให้เราเข้าไปนั่งดื่มในนั้น ทั้งๆ ตอนนั้นยังเป็นเวลาหัวค่ำอยู่ กว่าจะผ่านตรอกซอกซอยแถวนั้นมาได้ในหัวของผมก็เกิดความรู้สึกเปรียบเทียบระหว่าง "ความบันเทิง" "แสงสี" เรื่องราวแบบนี้ระหว่างเมืองไทยกับเมืองลาว ผมรู้สึกหน้าชานิดๆ เมื่อสิ่งที่เห็นและแสงสีมากมายของบ้านเรา ดูเหมือนเป็นความปกติธรรมดาไปเสียแล้ว แม้ว่าเพื่อนจะไม่ได้เอ่ยปากถามหรือพูดถึงเรื่องนี้เลย

พอนั่งกินข้าวในร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งหนึ่งในซอยคอนแวนต์ เพื่อนผมซึ่งมีหน้าตาคลายความเศร้าหมองหรือกลัดกลุ้มน้อยลงกว่าเมื่อตอนที่เจอกันในเวียงจันทน์คราวก่อนเล่าว่า ตอนนี้เขาเองก็ยังต้องพึ่งการกินยานอนหลับอยู่ และเมื่อเดินทางห่างจากลูกจากเมียมาสองสามวันเช่นนี้ จากที่เคยกลุ้มเรื่องคิดถึงงานก็กลายมาเป็นเครียดเพราะคิดถึงบ้านคิดถึงลูก ทำให้ไม่มีแก่ใจจะเที่ยวดูอะไรมากกว่าการมาทำธุระเป็นเพื่อนญาติ

เขาถามผมว่าตอนเจอกันคราวก่อน รู้สึกไหมว่าที่เวียงจันทน์ อะไรๆ เปลี่ยนไปเยอะ ซึ่งผมเองก็ตอบเขาไปว่าไม่ค่อยรู้สึกอะไร เพราะความเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมชาติของทุกสิ่งอยู่แล้ว ผมมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา เขาจึงหยิบยกเรื่องที่คนลาวในวันนี้ยุ่งยากและเอาจริงเอาจังมากขึ้นกับการทำมาหากิน จนเครียดกันมากขึ้น รถราในเวียงจันทน์หรือก็ติดมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน

เขาบอกว่าเท่าที่ได้มาเห็น คนกรุงเทพฯ ดูดีและหลายๆ สิ่งที่บ้านเราดูดีกว่าที่เวียงจันทน์ ผมเองแสดงความคิดเห็นกลับไปว่าคนกรุงเทพฯ เองก็เครียดและมีหลายๆ ส่วนที่ไม่ดีไม่น่าอยู่ ผมเองก็ยังเห็นข้อดีของวิถีชีวิตที่ใกล้ชิดธรรมชาติกว่าบ้านเราของเวียงจันทน์ อากาศที่ยังดี ผู้คนส่วนใหญ่ที่มีความเป็นอยู่ที่สบายๆ ไม่เร่งรีบเร่งร้อน

...เพื่อนผมเป็นคนลาวและลาวเองก็เป็นเพื่อนของเรา ไม่ว่าจะโดยโชคชะตาที่ทำให้ผมรู้จักกับคนลาวคนหนึ่งและติดต่อสัมพันธ์เป็นเพื่อนกันมา แต่ความจริงก็คือ ลาวกับไทยนั้นใกล้ชิดกันมากทั้งเรื่องภูมิศาสตร์ พรมแดน ภาษา อาหาร จนยากที่จะแบ่งเขาแบ่งเราหรือยกมาเปรียบเทียบกันว่าใครจะดีหรือดูดีกว่ากันในด้านไหนบ้าง

คงไม่ใช่เรื่องที่จะคิดหรือหมดยุคสมัยแล้วที่เราจะรู้สึกว่าดีกว่าเพื่อนของเราด้วยความคิดแบบยกตนข่มท่าน หรือเปรียบเทียบว่าใครดีกว่าใคร เราดีกว่าเขาเพราะความเจริญทางแสงสีและวัตถุที่มากกว่า การเปิดกว้างทางการติดต่อสื่อสาร เปิดรับแนวคิดต่างๆ โดยเฉพาะการบริโภคนิยมอย่างเสรี ไม่ควรมีใครไม่ว่าเราหรือเขาที่จะคิดว่าอีกฝ่ายหนึ่งไม่ใช่เพื่อนแล้วดุ่มเดินไปอย่างเดียวดายโดยไม่สนใจหรือเหลียวมองความสัมพันธ์ที่ผ่านมา หรือใส่ใจอีกฝ่ายหนึ่งอย่างเพียงพอ

เพราะไม่ว่าอย่างไร ลาวกับไทย ไทยกับลาว ก็จะมีกันเคียงข้างเสมอตราบเท่าที่ยังมีพรมแดนติดกัน ผู้คนยังไปมาหาสู่ พูดคุยภาษาเดียวกันได้โดยไม่ต้องใช้ล่ามแปล หรือชมชอบที่จะกินส้มตำปูปลาร้า กินข้าวเหนียว ฟังเพลงลูกทุ่งหมอลำเหมือนๆ กัน และมีโอกาสที่จะได้หยิบยื่นน้ำใจและมิตรภาพให้กันได้ด้วยความบังเอิญเหมือนผมกับเพื่อน

...เราจะเป็นเพื่อนกันอย่างเท่าเทียมและพึ่งพา

ของขวัญจากก้อนเมฆ

  เวลาฝนตกทำไมคนเราถึงเหงา ?
คำตอบก็คือ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน..อาจเพราะความมืดครึ้มของท้องฟ้า ความเย็นฉ่ำของสายฝน หรือความจริงแล้วเราทุกคนล้วนมีความหม่นเศร้าซุกซ่อนอยู่ในหัวใจ..เพียงเมฆครึ้มฟ้าและหยาดฝนโปรย  ก็ช่วยจุดชนวนความเหงาเศร้าในใจให้ปะทุขึ้นอีกครั้ง



   ขณะที่คนกลุ่มหนึ่งหม่นเศร้าเมื่อเห็นสายฝน บางคนชิงชังความเปียกชื้นเฉอะแฉะ แต่มีคนอีกกลุ่มหนึ่งเริงร่ายินดีเพียงแค่เห็นเมฆสีเทาพัดผ่าน  เพราะนั่นหมายถึงอีกไม่นานจะมีสายฝนโปรยปราย ซึ่งถือเป็นของขวัญล้ำค่าสำหรับคนที่ต้องการฝน


  ฝนตกคราใด ภาพเก่าๆ ในอดีตของฉันมักผุดพราย..ฉากชีวิตที่บ้านไม้ในสวนแม้จะลางเลือนไปบ้าง แต่ก็ยังจำภาพยามฝนตกได้อย่างแจ่มชัด
  ครอบครัวฉันย้ายจากเมืองไปอยู่ในสวนด้วยเหตุผลหลายประการ ในเวลานั้นที่นั่นไม่มีน้ำประปาและไม่มีไฟฟ้า ฟังดูไม่น่าเชื่อทั้งๆที่ทะเบียนบ้านระบุชัดเจนว่า "กรุงเทพมหานคร"  หลังหกโมงเย็นไม่ว่าพวกเราจะอยู่ที่ใดก็ตาม เราต้องรีบกลับให้ถึงบ้าน เพราะเมื่ออาทิตย์ลับขอบฟ้า สวนจะมืดและเงียบสงัด มีเพียงแสงจันทร์และดาวระยับที่ให้แสงนวลพอเห็นรำไร ฟังดูเหมือนลำบากลำบน แต่เราก็ค้นพบว่า บ้านเราไม่มีไฟแต่เราไม่เคยเดือดร้อน 
   เป็นความเงียบที่ไม่เคยเหงา...


  นอกจากไม่มีไฟฟ้าแล้ว บ้านสวนของฉันไม่มีน้ำ แต่เราไม่เคยทุกข์ใจ เพราะมีคลองเล็กๆ น้ำใสไหลผ่าน พ่อทำท่าน้ำไว้ริมชายคลอง การอาบน้ำของเรานั้นแสนง่าย แค่หยิบขันใส่สบู่ลงในขัน  เดินตัวปลิวไปทีท่าน้ำ และจ้วงอาบจนกว่าจะพอใจ รวมไปถึงการซักผ้า ซึ่งสะดวกสบายไม่แพ้กัน  นั่นคือ "น้ำใช้" ที่มีเหลือเฟือ แต่ "น้ำกิน" คือปัญหาหนักที่สุด เราต้องอาศัยน้ำฝนเพียงอย่างเดียว


  คราใดโอ่งน้ำกว่าสิบโอ่งเริ่มแห้งขอด ครอบครัวฉันเริ่มกลัดกลุ้ม วันๆ ฉันเฝ้าแต่แหงนหน้าดูก้อนเมฆ รอคอยว่าเมื่อใดเมฆสีเทาจะลอยผ่านมา เมื่อเห็นเมฆดำลอยอ้อยอิ่งนิ่งเนิ่นนาน นั่นหมายถึงก้อนเมฆนั้นคือมิตรปราณี ที่มีของขวัญคือหยาดฝนมามอบให้ ฉันเล็งจนแน่ใจว่าฝนจะต้องตกแน่นอน จึงรีบไปล้างรางน้ำฝน เตรียมโอ่งน้ำให่พร้อมเพื่อรองน้ำ บางครั้งได้เพียงโอ่งเดียว บางคราฟ้าเมตตาฉันได้น้ำฝนเกือบสิบโอ่ง นั่นหมายถึงครอบครัวของฉันจะมีน้ำกินไปได้นานเป็นเดือน


  มาบัดนี้ฉันเติบโต...ก้อนเมฆมิตรเก่าแก่ในวัยเยาว์ของฉัน..ไม่ได้เป็นที่ต้องการอีกต่อไป ฉันย้ายจากบ้านสวนมาอยู่ในเมืองหลายสิบปี บ้านฉันมีน้ำมีไฟ..และไม่มีโอ่งน้ำมากมายเหมือนก่อน
 แต่ฉันก็ยังรักก้อนเมฆ..ชอบสีหม่นเศร้าของท้องฟ้ายามครึ้มฝน ..ชอบเสียงฝน..ชอบกลิ่นดินที่ระเหยหอมยามฝนตก..ชอบอากาศสดชื่นหลังฟ้าหมาดฝน..และชอบความเงียบเหงาที่ซุกซ่อนอยู่ในหัวใจ..มันเป็นความเศร้าอันแสนสุข..ที่คงมีแต่สายฝนเท่านั้นที่จะเข้าใจ..
    
paokuntima
28/04/2011

วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2554

ผู้ชายค่ะ ผู้หญิงครับ


ตั้งแต่เมืองไทยเข้าสู่ยุค สวยด้วยแพทย์ ดูเหมือนเราจะแยกแยะชายจริงหญิงแท้กันไม่ค่อยออก โดยเฉพาะบรรดาเลดี้บอยทั้งหลาย ที่ทั้งงามนวลเนียนและเต่งตึงตูมตาม จนหญิงแท้หลายคนเอ่ยปากว่าอาย

เคยไปทำข่าวแล้วเจอน้องปอย ดาราสาวหรือชาย--เรียกว่าอะไรดี ตัวจริง โอ้โฮ ต้องบอกว่าสวยจริงๆ วันนั้นน้องปอยใส่ชุดแซคผ้ายืดรัดรูป ผู้หญิงอย่างฉันเห็นแล้วยังอยากตีก้น
อย่าหาว่าทะลึ่งเลย น้องเค้าเซ็กซี่จริงๆ 

ผิวพรรณหน้าตาหมดจดของเบล-นันทิตา ผู้ชายในรูปร่างและน้ำเสียงของผู้หญิง ที่เข้าแข่งขันรายการ Thailand’s Got Talent ทำให้คนดูมากมาย ทั้งในเมืองไทย รวมถึงซูเปอร์สตาร์ระดับโลก รอบบี้ วิลเลี่ยม ถึงกับอ้าปากค้างแล้วร้องเฮ้ย เมื่อเบลหน้าหวานเสียงร้องไพเราะน่ารักในเพลงของลุลา เกิดหักมุมร้องเสียงห้าวขึ้นมา
คนสวยกลายเป็นชายหนุ่มไปซะนี่


นั่นเป็นเรื่องของผู้ชายที่คนนึกว่าเป็นผู้หญิง ต่อไปเป็นเรื่องของผู้หญิงแท้ๆ ที่คนนึกว่าเป็นกะเทยกันบ้าง แอบเอาเรื่องของหลานสาวมาเล่า เธอชื่ออ๋อม เป็นแอร์โฮสเตสการบินไทยมากว่า 10 ปี ด้วยความสูง 170 กว่า บวกช่วงไหล่กว้าง บางทีมองจากด้านหลัง โดยเฉพาะในความมืด ฉันยังเคยนึกว่าเธอเป็นน้องตุ้ม นักมวยกะเทยเหมือนกัน แถมเพื่อนส่วนใหญ่ของอ๋อมยังเป็นกะเทยซะอีก เวลาอยู่ในกลุ่ม แม่นางอ๋อมจึงถูกมองว่าเป็นกะเทยยกแก๊ง

ตอนที่อ๋อมสอบเป็นแอร์ หลังจากสอบข้อเขียนและสอบว่ายน้ำผ่านแล้ว แอร์ฝึกหัดจะต้องเรียนการทำงานบนเครื่องบิน และจะต้องไปต่างจังหวัดกับเพื่อนร่วมชั้นเรียน ซึ่งฉันจำไม่ได้แน่ชัดว่าไปเพื่ออะไร แต่จำที่อ๋อมเล่าได้ว่า จะต้องทำกิจกรรมต่างๆ ประเภทเดินป่า บุกน้ำ ลุยไฟ ขุดดิน ปีนเขา ออกแนวโหดถึกทั้งสิ้น อ๋อมบอกว่า เขาให้ทำอะไร อ๋อมทำได้หมด ขณะที่พวกสจ๊วตเก้งกวางยังทำไม่ไหว
เหล่าประเทืองจึงพากันลงความเห็นว่า อ๋อมเป็นเก้งกวางเช่นเดียวกับพวกหล่อน
พวกนี้หารู้ความจริงไม่ว่า หลานสาวมาดนักมวยคนนี้ เคยเป็นสาวงามตัวแทนจังหวัดอุบลราชธานี ในการประกวดนางสาวไทย ปีเดียวกับที่ปนัดดา วงศ์ผู้ดี ได้มงกุฏไปครอง

สาวผมยาวเส้นเล็กนิ่มสลวยไม่น่าจะอยู่ในข่ายเข้าใจผิด คิดว่าเป็นแมนไปได้ แต่หน่อย-นริสษา (หากสะกดชื่อผิดต้องขออภัย) เพื่อนเก่าสมัยทำงานที่หนังสือพิมพ์เดียวกัน มักอยู่ในข่ายต้องสงสัยเป็นประจำ
หน่อยสูงไล่เลี่ยกับฉันราว 168 เซ็นติเมตร หน่อยชอบสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวพับแแขนและกางเกงยีนส์ ผมของหน่อยเรียบสวยงาม ไม่เคยยุ่งเหยิงหยิกหยอยจนฉันยังอิจฉา หน่อยไว้ผมยาวถึงกลางหลัง หวีผมแสกกลางเปิดหน้าผาก ยามหันหน้าไปมา ผมของหน่อยจะปลิวพลิ้วสวยราวกับนางแบบโฆษณาแชมพู เว้นเสียแต่ว่าหน้าของหน่อยออกแนวหนุ่มนักร้องเพื่อชีวิต ผิวสีน้ำผึ้งเข้มและเสียงทุ้มของหน่อยชวนให้คนไม่รู้จักไขว้เขวได้เหมือนกัน
นับประสาอะไรกับเด็กนักเรียน

วันหนึ่งขณะนั่งอยู่บนรถเมล์ หน่อยได้ยินเสียงเด็กนักเรียนผู้ชายสองคนที่นั่งด้านหลังหน่อยเถียงกันอย่างไม่ยอมลดราวาศอกให้กัน หัวข้อที่ทุ่มเถียงกันนั้นพาดพิงถึงหน่อยโดยตรง
กูว่าผู้หญิง คนหนึ่งพูด
กูว่าผู้ชาย อีกคนหนึ่งบอก
ผู้หญิง คนแรกยืนยัน
ผู้ชาย คนที่สองก็ยืนกราน

ก่อนที่เด็กทั้งสองจะเถียงกันไปมากกว่านี้ หน่อยคิดว่าน่าจะเฉลยให้เด็กๆ สบายใจและหายสงสัยเสียที ว่าแล้วหน่อยจึงหันหน้าไปแล้วยิ้มให้เด็กทั้งคู่ โดยหน่อยบอกว่ายิ้มหวานที่สุด จากนั้นจึงหันกลับมา
ในที่สุดเด็กทั้งสองคนก็ได้ข้อสรุป คำตอบที่หน่อยได้ยินคือ
อ๋อ ผู้ชาย
^__^


   

เผชิญหน้ากับความตาย

  ชั่วชีวิตของคนเราคงต้องผ่านการเผชิญหน้ากับความตายไม่มากก็น้อย ทั้งคนไม่รู้จัก คนรู้จัก ตลอดจนญาติสนิทมิตรสหาย ที่บาดลึกความรู้สึกมากที่สุดนั่นก็คือคนที่เรารัก..

   กว่าค่อนชีวิต ฉันพบว่าฉันได้เผชิญหน้ากับความตายอยู่หลายครั้งหลายครา ครั้งแรกเมื่อตอนอายุเพียง 7 ขวบ ฉันได้ไปเฝ้าคุณยายที่กำลังจะสิ้นลมหายใจ ญาติผู้ใหญ่ต่างร้องไห้กันระงม ส่วนฉันได้แต่เฝ้ามองดูคุณยายสิ้นลมไปต่อหน้า โดยไม่รับรู้เลยว่านั่นคือความตาย

   ในวัยเด็กฉันยังเคยวิ่งไปดูศพคนผูกคอตาย ทั้งที่แม่ห้ามนักหนาว่าอย่าไปดูเป็นอันขาด ยังไม่ทันสิ้นเสียงแม่ ฉันก็วิ่งไปถึงบ้านไม้หลังเล็ก เป็นบ้านของอาซิ้มที่ขายกระเพาะปลาที่ฉันคุ้นเคยเป็นอย่างดี  มีผู้คนมุงดูแน่นขนัด ฉันมุดเข้าไปได้เกือบหน้าสุด  ได้ยินเสียงผู้ใหญ่คุยกันว่าอาซิ้มผูกคอตายโดยแขวนร่างไว้กับขื่อบ้าน ฉันเห็นเขายกร่างอาซิ้มที่ถูกห่อด้วยผ้าสีขาวมัดไว้จนเห็นเป็นรูปร่างชัดเจน เด็กๆ ต่างวิ่งหนีกลับบ้านกันเมื่อเขายกศพผ่านมาใกล้ๆ

   เมื่อเติบโตขึ้นฉันได้เรียนรู้ว่าโศกนาฏกรรมที่สุดของชีวิตมนุษย์คือ "ความตาย" หลังจากพ่อของฉันได้จากไปอย่างปัจจุบันทันด่วน ฉันเดินไปจับร่างพ่อที่แข็งและเย็นชืด นับเป็นการเผชิญหน้ากับความตายที่รุนแรงโหดร้ายที่สุดในชีวิต

   ฉันกินไม่ได้นอนไม่หลับอยู่หลายเดือน พยายามค้นหาหนังสือเกี่ยวกับความตายมาอ่านมากมายหลายเล่ม และพบสัจธรรมว่า แท้จริงแล้ว "ความตาย"เป็นเรื่องปกติธรรมดา ที่ฉันชอบที่สุดก็คือมีคนเปรียบเปรยความตายไว้ว่า "เหมือนแม่ที่เรียกลูกที่ออกไปวิ่งเล่นให้กลับเข้ามานอน" ฉันมักจำประโยคนี้ไว้ปลอบประโลมคนรู้จักที่ทำใจไม่ได้ในยามที่ต้องเผชิญหน้ากับความตาย

   ในที่สุดวันที่ตัวเองต้องเผชิญหน้ากับความตายก็มาถึง วันที่ฉันป่วยหนักต้องเข้าโรงพยาบาล แพทย์ลงความเห็นว่าฉันต้องได้รับการผ่าตัดโดยด่วน มิเช่นนั้นฉันจะต้องเสียชีวิต ความเจ็บปวดทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ มากจนแทบจะทนทานไม่ไหว  ขณะความตายไล่ต้อนฉันไปจนมุม ยิ่งต่อสู้ยื้อแย่งชีวิตก็ยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นไปอีก  อยู่ๆ ฉันก็คิดในใจว่า "ตายก็ตาย ฉันพร้อมจะตายแล้ว ไม่อยากอยู่อีกต่อไป" เพียงอึดใจร่างกายก็พลันหายเจ็บปวด นับเป็นเรื่องแปลกมหัศจรรย์ ยามใดที่เราละวางชีวิต ความตายกลับอ่อนข้อให้เราเสมอ

   ความตายปล่อยให้ฉันกลับมามีชีวิตต่อไป จนฉันเกือบหลงลืมมันไปแล้ว แต่ในที่สุดมันก็กลับมาอีกครั้ง ในวันที่ฉันเฝ้ามองดูแม่วัย 88 ปี ที่ลมหายใจอ่อนแรงลงทุกวัน แม่มักกระซิบกับฉันบ่อยๆว่า "แม่จะไม่ไหวแล้วลูก" ฉันตอบแม่ว่า "อย่ากลัวความตายเลยแม่  ความตายก็แค่เป็นการเปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติ โลกเป็นเรื่องชั่วคราว เรามาก็เพื่อจะจากไป ร่างกายของเราคือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่มารวมกัน วันหนึ่งมันก็ต้องสูญสลายไป"  แม่ฟังแล้วยิ้มและหลับตาอย่างอ่อนล้า

  ฉันคงยังเผชิญหน้ากับความตายอยู่ทุกวัน.. ไม่ยอมอ่อนข้อ.. ไม่ท้อถอย.. บทกวีบทหนึ่งที่ฉันใช้ปลอบประโลมตัวเองในเวลานี้ก็คือ
   ความตายเอ๋ย..เจ้านั่นแหละที่ต้องตาย !

Paokuntima
27/04/2011

นานเพื่ออะไร

57...69...83...94
นานแค่ไหนและอายุเท่าไรครับถึงจะเรียกว่า "อายุยืน"
94 ปียังไม่ใช่และอาจจะน้อยไปสำหรับผู้คนในเขตสีฟ้า หรือ Blue Zones ซึ่ง Dan Buettner นักเขียนอิสระที่เขียนให้กับ National Geographic โดยใช้เวลาเจ็ดปีเดินทางท่องโลกไปตามบริเวณต่างๆ ที่มีข้อมูลว่าผู้คนที่นั่นมีอายุยืนยาว แล้วนำมาบอกเล่าในหนังสือของเขา "The Blue Zones: Lessons for Living Longer from the People Who've Lived the Longes"

Dan Buettner ได้รับเชิญมาร่วมรายการ The Oprah Show ตอนหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ที่ผมบังเอิญเปิดไปเจอแล้วหยุดดู แดนเล่าว่าเขาได้เดินทางไปทั่วโลกแล้วพบว่ามีผู้คนจำนวนมากในบริเวณไม่กี่แห่งบนโลกใบนี้ที่มีอายุยืนยาวเกินร้อยปีที่เขาจำกัดความว่าคือเขตสีฟ้า (Blue Zones) นั่นคือชาวนิโคยันหรือคนที่อยู่บนคาบสมุทรนิโคยา (Nicoya Peninsula) ในบรรยากาศกลางป่าเขาที่เป็นธรรมชาติมากของประเทศคอสตา ริกา อเมริกากลาง คนอิตาลีบนเกาะซาร์ดิเนีย (Sardinia) ชุมชน Loma Linda ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย 60 ไมล์ทางตะวันออกของลอสแองเจลลิส และคนในเกาะโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น

คนแก่อายุยืนยาวที่แดนได้พบในเขตสีฟ้ามีอายุตั้งแต่ 86, 98,107,108 ปีไปจนกระทั่งคนที่แก่ที่มีอายุยืนยาวที่สุดในโลกที่พบเกาะโอกินาวาซึ่งมีอายุถึง 113-114 ปี เขาสรุปเคล็ดลับหรือวิธีการที่คนแก่ในเขตสีฟ้ามีอายุยืนยาวเอาไว้หลายข้อ เช่น การดื่มน้ำจากธรรมชาติที่มีแร่แมกนีเซียมและแคลเซียมปริมาณที่สูง การทำงานในสวนป่าที่ทำให้ได้ตากแดดและทำให้เหงื่อออก โดยไม่ต้องแยกแยะว่านั่นเป็นการทำงานหรือการออกกำลังกาย การรับประทานอาหารจำพวกถั่วหรือธัญพืชโดยการปรุงเอง ดื่มนมแพะที่ตัวเองเลี้ยงเองหรือการดื่มไวน์แดง (เหมือนคนบนเกาะซาร์ดิเนีย) ขณะที่อาหารของคนบนเกาะโอกินาวาเป็นอาหารที่ทำจากเต้าหู้เป็นส่วนมากกับรับประทานผักกับปลา

"เมื่อคนโอกินาวากินอาหารใกล้จะอิ่ม ขณะที่กินอิ่มไปประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์พวกเขาจะพูดออกมาว่า 'hara hachi bu' เพื่อเตือนตัวเองว่าเราควรจะหยุดกินได้แล้ว"

เคล็ดลับอีกอย่างที่สำคัญสำหรับคนแก่แล้วที่ไม่แก่เลยก็คือพวกเขามีความสุขกับความแก่เฒ่า ยังคงทำงานแบ่งเบาครอบครัวและสังคม ไปเข้าโบสถ์เป็นประจำหรือเป็นอาสาสมัครในกิจกรรมต่างๆ

แดน ซึ่งเป็นผู้เขียนหนังสือบทเรียนเพื่อการมีอายุยืนยาวให้ข้อคิดอีกอย่างที่สะดุดใจผมมากว่า ทั้งคนในคอสตา ริกาหรือคนโอกินาวาก็ตามพวกเขามีค่านิยมที่บอกสอนกันต่อๆ มาว่าคนเราควรจะมีจุดมุ่งหมายในการใช้ชีวิตในแต่ละวันโดยมีคำเรียกว่าสิ่งเหล่านี้ว่า แพลน เดวิต้า ซึ่งหมายถึงเหตุผลที่จะตื่นมามีชีวิตอยู่ของชาวนิโคนา หรือคำว่า ikigai กับ moai ของคนโอกินาวา

"ชาวโอกินาวาสรุปคุณลักษณะที่ทำให้พวกเขามีสุขภาพดีแข็งแรงและมีอายุยืนด้วยคำสองคำว่า ikigai กับ moai

"Ikigai หมายถึง สิ่งที่จะทำให้เราคุ้มค่ากับการมีชีวิตอยู่ที่เราควรจะรู้และตอบตัวเองได้ ส่วน Moai ก็คือการที่เรายังคงมีโยงใยกับคนอื่นๆ ในสังคมอยู่ การมีเพื่อนหรือมิตรภาพที่ดีคอยหนุนเนื่องที่เป็นกุญแจของการมีชีวิตยืนยาว" แดนกล่าว

สิ่งนี้น่าจะเป็นคำตอบสำคัญว่าคนเราอยากหรือจะมีชีวิตอยู่ไปยาวนานเพื่ออะไร...

ภาพและเรื่องราวจาก The Oprah Show
http://www.oprah.com/health/The-Secrets-of-the-Blue-Zones

วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2554

ในลิ้นชัก


หลังจากเขียนบล็อกติดต่อกันได้ 10 วัน เมื่อเช้านี้ฉันบอกอิทว่า วันนี้คงไม่ได้เขียนบล็อกนะ เพราะไม่มีอะไรในหัวเลย อิทพูดเล่นๆ ว่าให้ส่งใบลาด้วย

ฉันลองคิดทบทวนว่ามีเรื่องใดเก็บกักไว้ พอจะเอามาคิดต่อแล้วเขียนเล่าสู่กันอ่านได้บ้าง เพื่อยึดนโยบายตามแบบพี่บอย โกสิยพงษ์ที่แต่งเพลงทุกวัน
หลังจากคุ้ยลิ้นชักในหัวเสียกระเจิดกระเจิงก็พบว่า คลังสมองของฉันช่างน้อยเสียนี่กระไร
....................

ตอนขึ้นปี 3 นิเทศศาสตร์ เป็นปีที่นิสิตจะต้องเลือกวิชาเมเจอร์ ฉันสองจิตสองใจระหว่างเอกวิทยุโทรทัศน์ กับเอกหนังสือพิมพ์ แต่ในที่สุดก็เลือกหนังสือพิมพ์ เพราะเพื่อนร่วมชั้นปีเฮละโลเลือกเมเจอร์วิทยุโทรทัศน์เยอะมาก จนอาจารย์บอกว่าไปเลือกเรียนภาคอื่นบ้างเถ้อะ เครื่องไม้เครื่องมือมีจำกัด ไม่อยากให้แย่งกันเรียน ฉันจึงตัดสินใจเลือกเมเจอร์หนังสือพิมพ์

เพื่อนร่วมภาควิชาหนังสือพิมพ์มีด้วยกัน 13 คน เรียนกันอย่างอบอุ่น ครื้นเครง และง่วงเหงาหาวนอนเป็นบางวิชา รุ่นเราเป็นรุ่นแรกที่มีคอมพิวเตอร์แมคอินทอชให้ใช้จัดอาร์ตเวิร์ค เป็นแมคยุคแรกหน้าจอเล็กจิ๋ว ใช้กันไม่ค่อยจะเป็น โดนมันด่า error error ตลอด กว่าจะทำหนังสือพิมพ์เสร็จออกมาซักฉบับ เขียนข่าว จัดหน้ากันจนตาโบ๋ แต่พอพิมพ์เสร็จออกมาเป็นรูปเล่มให้จับต้องก็ชื่นใจ  

จำได้ว่าเคยพูดเพ้อเจ้อกับอาจารย์ท่านหนึ่งประมาณว่า งานหนังสือพิมพ์เป็นเหมือนบันทึกประวัติศาสตร์เลยนะอาจารย์ ถ้าหากวันใดวันหนึ่งโลกแตกไป แล้วอีกหลายร้อยปีถัดมามีมนุษย์ยุคใหม่มาขุดค้นเจอหนังสือพิมพ์ที่หนูเคยเขียนข่าว ใครจะรู้หนังสือพิมพ์ที่มีข่าวของหนูอาจเป็นหลักฐานประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญก็ได้

เมื่อเรียนจบออกมาทำงานเป็นนักข่าว คลุกคลีในสนามจริงนานเข้า เราก็เริ่มเป็นเครื่องจักรผลิตตัวอักษร หลายหนเป็นเครื่องจักรโปเก ไม่รู้ว่าขาดน้ำมันหรือใกล้สิ้นอายุขัย ตั้งคำถามกับตัวเองว่า ตัวหนังสือที่เคยคิดว่ามีคุณค่ากลายเป็นเพียงกระดาษเปื้อนหมึกไปแล้วหรือเปล่า สิ่งที่เรารายงาน ตัวอักษรของเรามีค่าพอจะตีพิมพ์หรือ

จนกระทั่งวันหนึ่งได้ไปทำข่าวงานเปิดตัวหนังสือเข็มทิศชีวิต ของคุณฐิตินาถ ณ พัทลุง ไม่รู้ว่าคุณฐิตินาถดูโหงวเฮ้งฉันออกหรืออย่างไร เธอจึงบอกกับฉันซึ่งกำลังขาดความเชื่อในงานที่ทำว่า งานเขียนหนังสือเป็นงานที่ดีมาก เราไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เราเขียนวันนี้ อาจเปลี่ยนแปลงชีวิตคนๆ หนึ่งได้ เธอเล่าว่าผู้หญิงคนหนึ่งกำลังคิดฆ่าตัวตาย แต่เมื่อได้อ่านเรื่องที่เธอเขียนก็เปลี่ยนใจ เธอย้ำว่าตัวหนังสือของเราสามารถพลิกชีวิตคนได้จริงๆ 
   
ฉันไม่เคยคิดว่าบล็อกที่พวกเราร่วมกันเขียน ตัวหนังสือของพวกเราจะมีพลังหรือเป็นแรงบันดาลใจให้ใครได้ เราไม่ได้ทำงานยิ่งใหญ่ขนาดนั้น หากแต่เพียงว่า อย่างน้อยที่สุด ถ้าตัวหนังสือของพวกเราจะเป็นเพียง สะพาน เชื่อมต่อไปสู่ความคิด ความฝัน และรอยยิ้มที่มุมปาก แม้เพียงเล็กน้อยในแต่ละวัน เท่านี้ก็เพียงพอสำหรับขบวนตัวหนังสือของพวกเราแล้ว

วันนี้ฉันจึงยังไม่ได้ส่งใบลาและมุ่งมั่นเขียนบล็อกต่อไป (ขณะที่งานเขียนที่ได้เงินก็เขียนไม่เสร็จซักที เฮ้อ)



  







กฤษณะในตัวเรา

ในสมรภูมิและภาวะสงคราม กลยุทธ์และยุทธวิธี การบริหารจัดการกำลังเพื่อห้ำหั่นเอาชัยเหนืออีกฝ่ายหนึ่งนั้นเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่ทุกคนยอมรับว่า แม้แต่ในการประหัตประหารเพื่อสร้างสงครามกันนั้น คนเราก็สามารถที่จะสร้างศิลปะและการเรียนรู้ขึ้นมาได้

มีเรื่องเล่าเก่าแก่ปรัมปราอยู่เรื่องหนึ่งเกี่ยวกับการทำสงครามที่คลาสสิกระดับเหนือกาลเวลาจากดินแดนชมพูทวีป ซึ่งเก่งกาจในการเล่าขานเรื่องราวอันเป็นตำนานสอนใจ ก็คือเรื่องของพระกฤษณะและอรชุน จากคัมภีร์ภควัตคีตา อันแปลว่า "บทเพลงแห่งพระเป็นเจ้า"

ในภควัตคีตามีเรื่องย่อยๆ อยู่ในนั้นก็คือ "มหาภารตะ" ซึ่งเป็นเรื่องราวความขัดแย้งของพี่น้องที่สืบเชื้อสายเดียวกัน 2 ตระกูลระหว่างตระกูลปาณฑพ กับตระกูลเการพ สองตระกูลมีเหตุขัดแย้งบานปลายนำไปสู่มหาสงครามอันยิ่งใหญ่ ณ ทุ่งกุรุเกษตร เพื่อแย่งชิงราชสมบัติและแย่งกันปกครองแผ่นดิน

มหาภารตะเป็นมหากาพย์เล่าเรื่องราวการสู้รบของศึกร่วมสายเลือดครั้งนี้ โดยมีตัวเอกของมหากาพย์ภารตะคือ เจ้าชายอรชุน เจ้าชายฝ่ายตระกูลปาณฑพ และพระกฤษณะ ซึ่งเป็นปางอวตารของพระวิษณุ หรือ พระนารายณ์ 

หลักปรัชญาใน ภควัทคีตา ที่ปรากฏอยู่ภายในมหากาพย์มหาภารตะนั้นคือปรัชญาที่เกิดขึ้นจากการสนทนาระหว่าง พระกฤษณะ กับ เจ้าชายอรชุน ในระหว่างการเข้าสู่สนามรบ โดยพระกฤษณะก่อนหน้านั้นเป็น สารถีผู้ขี่ม้า ให้แก่เจ้าชายอรชุน ได้เปิดเผยสถาวะที่แท้จริงของตนในภายหลังให้อรชุนได้ประจักษ์ว่าตนเป็นอวตารของพระวิษณุ และได้แสดงธรรมสอนแก่อรชุน ประกอบไปด้วยความจริงแห่งโลก จักรวาล ธรรมชาติของชีวิต การปฏิบัติตนเป็นโยคี การหลุดพ้นและการเดินทางสู่สภาวะอันเป็นนิรันดร์เพื่อให้อรชุนเต็มใจที่จะห้ำหั่นกระทำศึกสงครามกับตระกูลญาติของตนเอง
(ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจากเว็บไซต์ http://www.siamganesh.com/BhagavadGita.html)

ส่วนที่มีการกล่าวถึงและเรียนรู้มากที่สุดจากเรื่องราวนี้ก็คือ หลักจริยศาสตร์ว่าด้วยธรรมะหรือหน้าที่ของกษัตริย์ คือหน้าที่รบเพื่อทำลายล้างอธรรม และผดุงศีลธรรมโดยไม่หวังผลตอบแทน

ถ้าจะกะเทาะออกมาสู่เปลือกแห่งปุถุชนไว้ตักเตือนบอกสอนใจตัวเองก็คือ คนเราเกิดมามีกรรมเป็นของตัวเอง กรรมนั้นนำมาสู่การกระทำหรือทำหน้าที่ คนเราควรจะต้องทำหน้าที่ที่ได้รับในการเกิดเป็นคนให้เต็มความสามารถ ทำให้ดีที่สุดโดยไม่ยึดถือว่าการทำงานนั้นจะทำให้เกิดผลตอบแทน ความร่ำรวยหรือคาดหวังซึ่งผลสำเร็จหลังชัยชนะนั้นเพียงอย่างเดียว

แม้ไม่ต้องลงมือทำหรือตกอยู่ในภาวะศึกสงครามจริงๆ ผมก็ยังเชื่อว่าคนเราอยู่ระหว่างทางเลือกของการกระทำกับไม่กระทำเสมอ (เหมือนที่วิลเลียม เชคสเปียร์บอกไว้ในเรื่อง Hamlet ว่า To be, or not to be) ซึ่งเป็นภาวะที่นำมาสู่ความกระอักกระอ่วน หรือ dilemma อย่างหนึ่ง ภาวะเช่นนี้ทำให้จะหยิบจะจับหรือทำอะไรก็ไม่ถนัดถนี่หรือทำเพียงครึ่งๆ กลางๆ ด้วยการที่ตัดสินใจไม่ขาด หรือกระทำการต่างๆ ด้วยความขลาดมากกว่า

"ทำสงครามในชีวิตหรือภาระหน้าที่ตามที่มีอยู่ ตามเงื่อนไขปัจจัยที่เราเป็นอยู่ให้ดีและเต็มที่ที่สุด ทำไปตามหน้าที่และความรับผิดชอบ" ของการเกิดเป็นคน น่าจะเป็นคำสอนของกฤษณะที่เราต้องพึงเตือนพึงย้ำตัวเองให้เงี่ยหูฟังให้ดีและค้นให้พบกฤษณะในตัวเรา

ผู้ซึ่งจะคอยบอกคอยสอนและชี้ทางสว่างแก่ใจเราว่า ไม่ว่าจะเป็นสมรภูมิใดก็ตามที่เราก้าวเท้าเข้าไป ขอให้กระทำสิ่งที่พึงกระทำอย่างเต็มที่ ด้วยศักดิ์ศรีและความสง่างาม

วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2554

ของแถม ของจริง ของขวัญ

ภาพแมวน้อยน่ารักโดยโมโมโกะ ศิลปินชาวญีุ่ปุ่นที่เชียงใหม่
คนทำงานส่วนใหญ่ไม่อยากให้วันจันทร์มาถึง ยิ่งถ้าเป็นเช้าวันจันทร์ที่ฟ้าครึ้ม ฝนตกไม่ยอมหยุดตั้งแต่ก่อนฟ้าสางอย่างเช้านี้ อารมณ์ยิ่งพาลหม่นหมอง หดหู่ กลายเป็น blue Monday

บ่อยครั้งได้ยินคนบ่นเบื่องาน อยากลาออก บางคนอยากหางานใหม่เพื่อให้ได้เงินเดือนที่ดีกว่า
ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นย่อมเป็นแรงจูงใจในการทำงาน แต่ถ้าเรามองเงินเป็นเรื่องหลัก ฉันพบว่าความสนุกและความสุขจากการทำงานก็จะถูกมองข้ามไปเสมอ ประสบการณ์แบบนี้เคยเกิดกับฉันมาแล้ว

สิบกว่าปีก่อน ฉันทำงานในบริษัทแห่งหนึ่ง งานหนักหนาสาหัสประเดประดังมาไม่ขาดสาย ทำเท่าไหร่ก็ทำไม่ทัน ขนาดหอบงานกลับมาทำที่บ้านจนดึกดื่นไม่เว้นแม้วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ก็ไม่มีทีท่าว่าจะงานจะลดน้อยลง ทั้งเหนื่อย ทั้งเครียด
หนักเข้าก็คิดว่าทำงานจนสายตัวแทบขาด สมองแทบระเบิด แต่เงินเดือนน้อยเหลือเกิน ความสุขจากการทำงานจึงแทบไม่มี
ถ้าเพียงตอนนั้นมีรายการคนค้นฅนแล้ว มุมมองต่อการทำงานของฉันคงจะเปลี่ยนไป เพราะตอนหนึ่งของรายการได้นำเสนอเรื่องของชายพิการคนหนึ่ง ผู้ที่ฉันนึกคารวะและขอบคุณเรื่องราวของเขาเสมอมา

มั่นคง สังข์บ้านแพ้ว คนทั่วไปเรียกเขาว่าชายน้อย เพราะเกิดมาพิการ แขนขาเกร็ง เท้าแป ปากเบี้ยว ลักษณะคล้ายชายน้อยในเรื่องบ้านทรายทอง ความพิการทำให้ชายน้อยเดินไม่ได้ แต่เขาไม่ยอมแพ้ พยายามเดิน จนเดินได้ในที่สุด

ตั้งแต่เดินได้ ชายน้อยไม่เคยหยุดเดินเลย เขาช่วยพ่อแม่ทำมาหากินด้วยการขายผักที่ตลาดบ้านแพ้ว โดยชายน้อยจะนั่งรถบัสจากบ้านแพ้วไปนครปฐมเพื่อซื้อผัก ราวๆ เที่ยงก็ขึ้นรถบัสกลับบ้านเพื่อช่วยกันกับพ่อและแม่จัดผักเป็นกำๆ ราวสามโมงก็จะเข็นผักจากบ้านสวนออกมาขายที่ตลาดบ้านแพ้ว

ระหว่างทางจากบ้านไปขายผักที่ตลาด ด้วยสภาพร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ เท้าข้างหนึ่งพลิกแป เดินเหินลำบาก แต่เขาก็ค่อยๆ เข็นผักที่แสนหนักอึ้งท่ามกลางเปลวแดดขึ้นสะพานสูงชันด้วยเรี่ยวแรงของตัวเองเพียงลำพัง

ตั้งแต่เช้าที่นั่งรถบัสไปซื้อผัก เดินซื้อผักในตลาดขายส่ง นั่งรถกลับบ้าน เข็นรถขึ้นสะพาน จนขายผักเสร็จราวหนึ่งทุ่ม พี่เช็ค-สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ ถามชายน้อยว่าขายได้เงินกี่บาท ชายน้อยยิ้มแล้วตอบว่าได้สองร้อยกว่าบาท

สองร้อยบาทเท่านั้นกับการลงทุนลงแรงตรากตรำตลอดทั้งวัน แต่เขาก็ยิ้ม
มันเป็นรอยยิ้มของคนที่มีความสุขจากการทำงาน และพอใจกับรายได้ที่มาจากน้ำพักน้ำแรง
ฉันหันกลับมามองตัวเอง ในบ้านแสนสบาย ฉันนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ มีพัดลมพัดเย็น ร้อนนักก็เปิดแอร์ ไม่ต้องตากแดดตากฝน
ด้วยต้นทุนที่มีมากกว่า เพียงนั่งทำงานไม่กี่ชั่วโมง ก็ได้ค่าตอบแทนมากกว่าชายน้อยหลายเท่า
ฉันหันไปบอกคนข้างกายว่า เมื่อไหร่ที่ฉันงี่เง่า เห็นเงินมาก่อนงาน ขอให้เตือนสติฉันด้วยว่า ชายน้อย สังข์บ้านแพ้ว

ปลายปีที่แล้ว พวกเราสามสหายตะลุมบอนมีโอกาสสัมภาษณ์พี่โก๋-จิตร์ ตัณฑเสถียร นักสร้างแบรนด์ที่คนในแวดวงการตลาดเชื่อฝีมือ พี่โก๋พูดว่าการทำงานคือการขัดเกลา ถ้าเราเอาเงินเป็นเป้าหมาย จะไม่สนุกระหว่างทาง
อีกคำพูดหนึ่งของพี่โก๋ที่ฉันจดจำไว้คอยเตือนใจตัวเองก็คือ
เงินทองชื่อเสียงเป็นของแถม ความสนุกเป็นของจริง ความผิดพลาดเป็นของขวัญ
  




คนแปลกหน้าที่เราคุ้นเคย

     แต่ไหนแต่ไรพ่อแม่มักสั่งสอนเสมอว่าอย่าไปพูดคุยกับคนแปลกหน้า แต่ฉันกลับพิสมัยการพูดคุยกับคนแปลกหน้า ฉันชอบบทสนทนาที่เริ่มต้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย และมักจบลงด้วยการโกหกหลอกลวง กันซึ่งหน้าๆ

     คนแปลกหน้าคนแรกที่ฉันมั่นใจว่าคุณจะต้องเคยเจอเขาแน่น่อน คนพวกนี้จะเตร็ดเตร่อยูตามป้ายรถเมล์ บนบ่าจะสะพายเป้เดินทางใบเล็กบ้างใหญ่บ้าง เขาจะคอยสบตาใครสักคน ถึงฉันจะหน้าตาไม่ดี แต่กลับเป็นที่ต้องตาต้องใจคนพวกนี้เป็นอย่างมาก คนแปลกหน้าจะเดินมาใกล้ๆ ฉัน ทำสายตาอ่อนโยนเว้าวอนและเอ่ยขึ้นว่า "พี่ พี่ พอดีผมมาจากขอนแก่น (หรือจังหวัดใดก็ได้ตามใจชอบ) ไม่มีค่ารถกลับบ้าน พี่พอจะมีซัก 20 บาทไหม" ตลอดชีวิตฉัน ฉันจำไม่ได้ว่าฉันได้ส่งเสียคนแปลกหน้าพวกนี้ให้กลับภูมิลำเนาไปแล้วเป็นเงินจำนวนเท่าไร และฉันก็ค้นพบว่าคนพวกนี้ยังไม่เคยกลับถึงบ้านเสียที หลายสิบปีผ่านไป เขายังคงวนเวียนอยู่ตามป้ายรถเมล์ต่อไป

  คนแปลกหน้าคนที่สองที่คุณจะต้องเจอเขาแน่นอนในวันที่คุณขยับฐานะมีรถส่วนตัว ยามใดรถคุณไปจอดติดที่สีแยกไฟแดง คนแปลกหน้าที่คุณไม่เคยรู้จักมาก่อนเลยในชีวิตทั้งชาตินี้และชาติหน้า เขาจะเดินตรงมาที่รถคุณ เขาไม่เคยทักทายคุณ ไม่พูดด้วยแม้แต่คำเดียว ไม่บอกคุณด้วยซ้ำว่าเขาต้องการอะไรจากคุณ และไม่เคยถามคุณว่าคุณต้องการอะไรจากเขาไหม ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วราวสายฟ้าฟาด  เขาจะตรงเข้ามาและฉีดน้ำฟองฟอดใส่กระจกรถคุณและก็เช็ดๆๆไปเรื่อยๆ และหยุดลง พร้อมกับยืนนิ่งราวไว้อาลัยการจากไปของใครสักคน ดวงตาเขาว่างเปล่าแต่คุกคามให้คุณส่งตังค์ให้เขา จะว่าไปฉันชอบคนแปลกหน้ากลุ่มนี้ไม่น้อย ฉันจะหยิบยื่นส่งเงินให้เขาอย่างว่าง่าย พร้อมนึกในใจเสมอว่า "ตรูเป็นหนี้มรึงตั้งแต่เมื่อไร"  ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับเขาจบลงสั้นๆไม่เกินหนึ่งนาที เพื่อรอวันพรุ่งนี้ที่เขาจะกลับมาพบกับคุณอีกที่สี่แยกไฟแดง

   คนแปลกหน้าคนสุดท้ายที่น่าชิงชิงมากเป็นพิเศษ ไม่ว่าคุณจะใช้เบอร์มือถือค่ายใดก็ตาม ก็จะมีคนแปลกหน้าและแปลกเสียง คอยโทรมาหาคุณ พร้อมโกหกซึ่งๆหน้าว่า "สวัสดีค่ะ ขณะนี้คุณมียอดชำระบัตรเครดิต กรุณาติดต่อกลับโดยด่วน" ทั้งๆ ที่เกิดมาคุณไม่เคยใช้บัตรเครดิตค่ายนั้นมาก่อน หากคุณพยายามจะสื่อสารเพื่อด่าทอพวกเขา เขาก็จะกลายเป็นเสียงอัตโนมัติขึ้นมาทันที

  คนแปลกหน้าพวกนี้ยังคงเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในชีวิตพวกเรา จนถึงวันนี้เราต้องยอมรับว่าพวกเขาคือคนแปลกหน้าที่เราคุ้นเคย ฉันเคยคิดว่าฉันน่าจะยกระดับความสัมพันธ์กับคนพวกนี้ให้กลายเป็นเพื่อนให้รู้แล้วรู้รอดกันไป หากมีคนแปลกหน้ามาบอกว่าไม่มีรถกลับบ้านที่ขอนแก่น ฉันอยากบอกว่า ให้ฉันไปส่งไหม แล้วอยากรู้ว่าเขาจะตอบว่าอย่างไร หากมีคนมาเช็ดกระจก ฉันอยากถามว่า ล้างรถด้วยเอาเท่าไร และถ้าคนที่โกหกว่าฉันเป็นหนี้บัตรเครดิต ฉันก็จะบอกว่าให้มารับเงินสดที่นี่เลย เป็นหนี้เท่าไรให้มาเอาไปเลยพี่ มาเดี๋ยวนี้เลย
         อยากรู้จริงๆ ว่าคนแปลกหน้าพวกนี้จะตอบว่าอย่างไร ? และเขาจะอยากเป็นเพื่อนกับฉันไหม ?

paokuntima
18/04/2011

ความจริงของฉัน ความฝันของเธอ

เช้าวันนี้ฝนตกเฉอะแฉะมิหนำซ้ำยังเป็นเช้าวันจันทร์วันทำงานวันแรกของสัปดาห์

ผมลงไปห้องครัว เปิดไฟและเตรียมทำกาแฟ หาอาหารเช้ารองท้อง...ก่อนออกไปทำงาน

ถ้าหากเป็นเมื่อก่อนผมจะไม่อินังขังขอบเลยกับภาวะฝนตกตอนเช้าๆ วันทำงาน เพราะผมไม่ต้องออกไปทำงาน

ผมยึดบ้านเป็นสถานที่ทำงานในฐานะ "คนรับงานและสร้างงานด้วยตัวเอง" หรือเป็นฟรีแลนซ์มาตั้งแต่ออกจากงานประจำงานสุดท้ายเมื่อกลางปี 2546 รวมความแล้วก็ราวๆ 8 ปีที่ผ่านมา สุขบ้างทุกข์บ้างบนวิถีฟรีแลนซ์ งานน้อยบ้างมากบ้าง ตามประสาของชีวิตที่มีขึ้นมีลง แต่รู้สึกว่าควบคุมดูแลชีวิตของตัวเองได้มากกว่า และที่สำคัญไม่มีการเข้าออกงานเป็นเวลา กับ "เวลา" ที่ได้คืนกลับมาอย่างเหลือเฟือเต็มเม็ดเต็มหน่วยนั่นเองที่เป็นพื้นฐานทรัพยากรสำคัญของคนที่เป็นฟรีแลนซ์ ว่าจะรู้จักนำมาจัดสรรดูแลแบ่งปันให้กับสิ่งใดบ้างในชีวิต

ใช้ในการดูแลตัวเอง...
ใช้ในการออกเดินทางท่องเที่ยว...
ใช้ในการสร้างสรรค์งานที่เราอยากทำ...
ใช้ในการออกไปฝึกฝนหาความรู้หรือประสบการณ์ใหม่ๆ ที่เราอยากเรียนรู้แต่ไม่เคยมีเวลาหรือโอกาสมาก่อน...

มีแต่คนที่เป็นฟรีแลนซ์เท่านั้นแหละครับที่จะตอบตัวเองให้ได้ว่า เมื่อออกจากงานประจำ เงินทองอาจจะร่อยหรอ น้อยลง เข้ากระเป๋าไม่เป็นเวลา แต่กับเวลาที่มีอยู่อย่างเหลือเฟือเราจะจัดสรรอย่างไรให้ "สร้างสรรค์"

พอออกจากงานประจำ ผมก็ปักหลักรับงานเขียนหนังสือที่เรียกว่า " Ghost Writer" รับงานเขียนแทนคนที่อยากจะมีหรืออยากจะออกหนังสือของตัวเอง ออกไปสัมภาษณ์และเรียบเรียง แล้วเอาข้อมูลกลับมาเขียน อาจจะรับงานเป็นบรรณาธิการหนังสือเล่มบ้าง เขียนคอลัมน์ประจำในหนังสือพิมพ์และคอลัมน์ท่องเที่ยวบ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่ผมได้ใช้เวลาที่มีอยู่ลงมือทำก็คือการเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับการที่ตัวเองทำงานแบบฟรีแลนซ์ มีที่มาที่ไปอย่างไร และการเป็นฟรีแลนซ์มีข้อดีข้อเสีย ข้อได้เปรียบในการทำงาน หรือจะต้องมีการเตรียมตัวรับมือสภาพการทำงานในการเป็นฟรีแลนซ์อย่างไร

หนังสือเล่มหนึ่งของผมชื่อ "สร้างชีวิตด้วยแนวคิดไร้ขีดจำกัด" หรือ The Way of Freelance สำเร็จเป็นรูปเป็นร่างและตีพิมพ์ออกมาโดยสำนักพิมพ์บิสซี่เดย์ (http://www.busy-day.com/หนังสือแนะแนวอาชีพ-ธุรกิจ/สร้างชีวิตด้วยแนวคิดไร้ขีดจำกัด.html) เมื่อเดือนตุลาคม 2552 เพื่อถ่ายทอดมุมมอง วิถีคิด การจัดการ ความเปลี่ยนแปลงที่เข้ามาสู่ชีวิต วิถีที่เป็นความใฝ่ฝันของคนทำงานประจำหลายต่อหลายคนในขณะนี้


ปกหนังสือสร้างชีวิตด้วยแนวคิดไร้ขีดจำกัดของผม
ชีวิตฟรีแลนซ์เป็นชีวิตที่ดีไหม ร่ำรวยจากเงินทองที่ได้จากการทำงานไหม มีเวลาเหลือเฟือพอที่จะได้ลงมือทำตามอย่างที่เคยคิดเคยฝันเอาไว้บ้างไหม หรือกระทั่งเราจะเป็นอิสระจากวิถีที่เร่งรีบเร่งรัดที่โอบล้อมยามทำงานประจำได้จริงหรือไม่ เป็นสิ่งที่ผมพยายามรวบรวมและนำเสนอเอาไว้ในหนังสือเล่มนี้ และยังได้ชักชวนเพื่อนๆ พี่ๆ คนที่รู้จักที่ทำงานเป็นฟรีแลนซ์ในสาขาอาชีพและแวดวงต่างๆ อีก 12 คนมาพูดคุยถึงประสบการณ์ ความสำเร็จ ความสุขความทุกข์ที่มีอยู่จากการเป็นฟรีแลนซ์เอาไว้ตอนท้ายเล่ม

การเป็นฟรีแลนซ์เป็นวิถีของผมและของใครหลายต่อหลายคนที่ได้ตัดสินใจ และยอมรับแล้วซึ่งผลของการ "ตัดสินใจ" และ "ลงมือทำ" ของตัวเอง จะสุขจะทุกข์ เราจะบอกตัวเองว่าเราจะไม่ยืนอยู่บนความลังเลสงสัย ไม่ว่าจะต่อศักยภาพของตัวเองที่เชื่อว่าเราทำอะไรได้บ้างไม่ได้บ้าง หรือความไม่แน่ไม่นอนกับความเป็นไปในอนาคต ซึ่งเป็นความจริงของเราอยู่ ณ ตอนนี้

เพราะคนที่เป็นฟรีแลนซ์ทั้งหลายย่อมรู้ดีว่า ความลังเลใจนั้นไม่เป็นผลดีใดๆ เลยต่อเส้นทางที่ท้าทาย ที่เป็นอยู่เมื่อเทียบกับ "การลงมือทำ" ยอมรับผลของการได้ทำไปแล้วและไปให้ไกลที่สุดดีที่สุด