วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เราสร้างประเทศขึ้นจากสงคราม

ประมาณสองสัปดาห์ที่แล้วผมได้ตามหลานสาวไปเที่ยวบ้านเพื่อนของเธอทางจังหวัดใหญ่แห่งหนึ่งของภาคตะวันออก ก่อนออกเดินทางเรารู้ดีอยู่แล้วว่าพ่อของเพื่อนหลานสาว ซึ่งเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในจังหวัดนั้นกำลังลงสมัคร ส.ส. ในการเลือกตั้งครั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น ทำให้ตัวลูกสาวจะต้องคร่ำเคร่ง อดตาหลับขับตานอน เอาใจช่วยพ่อเต็มที่เพื่อชิงชัยในสนามเลือกตั้งเป็นครั้งแรก หลังจากที่เป็นนักการเมืองท้องถิ่นในระดับ ส.จ. มานานนับสิบๆ ปี


แม้จะเป็นการไปเที่ยวเพื่อเยี่ยมเยียนสอบถามสารทุกข์สุกดิบและได้ไปเที่ยวบ้านของเพื่อนหลานสาวคนนี้เป็นครั้งแรก แต่เจ้าภาพก็ต้อนรับขับสู้อย่างเต็มที่ อุตส่าห์แบ่งเวลาของการช่วยบุพการีหาเสียงและบริหารจัดการต่างๆ มาร่วมวงข้าว (และวงน้ำเมาในยามดึกดื่น) ช่วยจัดหาที่หลับที่นอนที่สะดวกสบายให้กับผู้ที่ไปเยือน สร้างความประทับใจให้กับพวกเราที่เดินทางคณะเดียวกันทุกคน


เราไม่ปฏิเสธว่าอดที่จะมีใจโอนเอียงและอยากเอาใจช่วยสนับสนุนให้พ่อของเธอได้ชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ และพลอยได้รับรู้รับเห็นกระบวนการ "หาเสียง" ที่กำลังเกิดขึ้นและที่เป็นอยู่เป็นไปอย่างช่วยไม่ได้


คืนวันหนึ่งเมื่อปลดปล่อยปล่อยวางจากภาระของการเป็นผู้ประสานหลักให้กับพ่อที่ศูนย์ประสานงานเลือกตั้งของพรรค (ซึ่งก็คือตัวบ้านของเธอในอำเภอ) เราตั้งวงพูดคุยสอบถามถึงการเลือกตั้ง ตอนแรกตั้งใจว่าจะถามเรื่องทั่วๆ ไป แต่แล้วก็พลอยได้รับรู้ถึงบรรยากาศของการแข่งขันระหว่างผู้สมัครต่างพรรค ไปจนกระทั่งถึงกลไกในการหาเสียง การใช้เงินในการติดตั้งป้ายหาเสียง การจ้างรถออกไปวิ่งป่าวประกาศ ราคาค่าพิมพ์ใบปลิวและใบโฆษณาต่างๆ การจ่ายเงินให้กับคนไปเดินแจกใบปลิวแต่ละวันๆ ซึ่งพอๆ หรือแพงกว่าค่าแรงขั้นต่ำ แม้จะรู้ว่ามีเงินอุดหนุนมาจากทางพรรค และมีการกำหนดการใช้เงินเอาไว้จากคณะกรรมการการเลือกตั้งก็ตาม แต่เจ้าตัวที่เกี่ยวข้องเองตรงๆ ก็ยังยอมรับว่าที่กำหนดเอาไว้ว่าไม่ให้ผู้ลงสมัครเลือกตั้งใช้เงินหาเสียงในทุกกิจกรรมและกระบวนการต่างๆ ไม่เกินคนละ 1.5 ล้านบาทนั้น มองยังไงก็ไม่น่าจะพอ


อันนี้ยังไม่รวมถึง เงินที่แต่ละฝ่ายใช้ในการแจกจ่ายให้กับหัวคะแนนเพื่อไปแบ่งปันและแจกจ่ายต่อ เพื่อให้เชื่อมั่นได้ว่าจะมีคะแนนเป็นต่ออีกฝ่ายหนึ่งในวันลงคะแนนอย่างแน่นอน ซึ่งแม้แต่เด็กอมมือก็ยังไม่เชื่อว่า การเลือกตั้งแต่ละครั้งจะไม่มีการจ่ายเงินซื้อสิทธิขายเสียง เพียงแต่จับได้ไม่มั่นคั้นไม่ตาย ไม่โดนใบเหลืองใบแดงก็ต้องปล่อยๆ ให้เกิดขึ้นต่อไป


บรรยากาศและความเป็นจริงของการเลือกตั้ง ส.ส. ในระบบสภาบ้านเราที่เกิดขึ้น จึงไม่ต่างจาก "สมรภูมิ" "ศึกสงคราม" และการยื้อแย่งแข่งขัน แข่งกันมากๆ ใช้เงินมากๆ โยนขี้โยนบาปให้กับอีกฝ่ายหนึ่งราวกับชาตินี้เกิดมาเป็นศัตรูกัน แต่แล้วพอได้รับเลือกตั้งเข้าไปเป็น ส.ส. แล้วก็ไปปรองดองประสานประโยชน์กันใหม่ หาทาง "ถอนทุน" ที่ลงไปจากการเลือกตั้งเข้าพกเข้าห่อและเครือข่ายเพื่อนพ้องของตัวเองกันต่อไป ดุจ "วงจรอุบาทว์" ที่มีคนเปรียบเทียบเปรียบเปรยการเมืองของไทยเอาไว้


ในวงสนทนากลางค่ำกลางคืนอันเงียบสงบของรีสอร์ตแห่งหนึ่งทางภาคตะวันออกที่ผมนั่งร่วมวงอยู่ด้วย มีพวกเราที่อายุอานามสามสิบกว่าๆ อย่างไรเสียก็ไม่เกินสี่สิบต้นๆ บังเอิญว่าในวงมีเด็กผู้หญิงซึ่งเป็นหลานสาวของเพื่อนหลานผมอีกทีในวัย 10 - 11 ปี นั่งอดตาหลับขับตานอน ตากน้ำค้างหาวหวอดๆ นั่งฟังบรรดาน้าๆ ป้าๆ ลุงๆ พูดคุยกันถึงเรื่องการบ้านการเมืองอยู่ด้วย


เรามาถึงบทสรุปกันที่ว่า บรรยากาศการเลือกตั้งที่ต่อสู้แข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ทั้งการใช้เงินมากมายและการสร้างความแบ่งแยกแตกต่างอย่างกับสงครามเช่นนี้ ไม่น่าจะเป็นที่มาของการจัดการบ้านเมืองของเราให้เป็นไปในทิศทางที่ถูกต้องเหมาะสมและสงบน่าอยู่ได้ เพราะเราจะเชื่อมั่น "สันติภาพ" และ "สันติสุข" ที่เกิดจากน้ำมือและน้ำเงินของบรรดาโจรหรือผู้กระหายสงครามที่กำลังอาสาเข้าไปเป็นตัวแทนประชาชนในระบบรัฐสภาได้อย่างไร


แต่จริงๆ แล้วควรจะมีหนทางของการเรียนรู้และเข้าถึงประชาธิปไตยหรือระบบตัวแทน เพื่อให้การเมืองของบ้านเราดำเนินไปได้ดีและดูมีความหวังกว่าที่เป็นอยู่ เรื่องระบบการศึกษาและการปลูกฝังแนวคิดการมีส่วนร่วมทางการเมืองให้กับเด็กๆ ในวัยเรียนก็น่าจะเป็นคำตอบหนึ่ง


ในค่ำคืนนั้นลมพัดแรง แต่ไร้แสงดาว ในหัวใจของผมและทุกคนในวงนั้นรู้ดีว่าเราไม่อาจหวังได้กับความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นแม้จะเป็นการเลือกตั้งครั้งนี้หรือครั้งต่อๆ ไปข้างหน้า แต่เราก็ยังอดที่จะหวังไม่ได้ว่าจะมีสักคืนที่ฟ้ามืดๆ ของการเมืองไทยจะผลิแสงดาวแห่งความหวัง...

วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ตลาดสนุก

จอแจ เบียดเสียด และเปียกชื้น...


หากให้ใครก็ตามนึกถึงภาพของ "ตลาดสด" ในความคิดขึ้นมาตอนนี้แล้วล่ะก็ คงจะหนีไม่พ้นคำต่างๆ ที่ผมว่ามาเป็นแน่ ซ้ำร้ายอาจจะมีคำอื่นๆ ที่ชวนให้น่าเบื่อ ไม่น่าเดิน ไม่น่านึกถึงอื่นๆ อีกเพียบ


แต่สำหรับผมเอง ผมรู้สึกว่า คำว่า "ตลาดสด" ช่างเป็นคำที่มีเสน่ห์คำหนึ่งและมีเอกลักษณ์ เป็นคำคำหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่าใครเป็นคนแรกที่บัญญัติคำคำนี้ขึ้นมา เพื่อเรียกขานแหล่งสถานสำหรับการพบปะแลกเปลี่ยนสินค้าโดยเฉพาะเป็นอาหารสด ผักปลา ผลไม้เป็นคนแรก แต่ก็ช่างให้ภาพและความรู้สึกชัดเจนดีเมื่อมีคำว่า "ตลาด" และคำว่า "สด" อยู่รวมกัน


ไม่ผิดนักหากจะพูดว่าหนึ่งในเอกลักษณ์ของอารมณ์ความรู้สึก ที่สะท้อนถึงวิถีความเป็นอยู่แบบไทยๆ ของคนไทยได้ดีก็คือตลาดสดนั่นเอง ไม่เชื่อคงจะต้องลองหาโอกาสไปเดินเล่นที่ตลาดแถวบ้านดู เน้นว่าขอให้เป็นตลาดสดหรือตลาดเช้าจะคึกคัก สนุกสนานมากกว่า


เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมมีอันจะต้องถือถุงผ้าเดินตามคนที่บ้านไปตลาดสดแถวบ้านอันแสนจะคึกคักด้วยข้าวของและผักปลานานาชนิด เพราะต้องเตรียมตัวซื้ออาหารมาต้อนรับเพื่อนฝูงที่จะมากินข้าวที่บ้าน เช้าวันนั้นเป็นวันเสาร์ที่ผมเองอยากจะตื่นนอนสายกว่าปกติสักนิด เมื่ออิดออดนอนต่อไปไม่ได้ ก็ต้องตื่นเตรียมตัวสลัดความง่วงงัวเงียออกจากตัวเพื่อออกไปตลาดสด


ไม่น่าเชื่อว่าไม่กี่ก้าวที่ย่างเท้าเข้าสู่บรรยากาศตลาดสด ความรู้สึกข้างในผมก็ถูกสั่นกระเพื่อมไหวให้ตื่นขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งภาพ ทั้งเสียง ทั้งกลิ่นของบรรยากาศที่ได้เห็นจู่โจมเข้าปลุกทุกสรรพความรู้สึกโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้


สิ่งต่างๆ อันเป็นตัวกระตุ้นชั้นดีของตลาดสดคือ แผงผักหลากชนิดหลากสี แผงขายเนื้อสัตว์ทั้งไก่ ปลา ปลาร้าหมัก (ส่งกลิ่นมาด้วย) เหลือบสายตาลงต่ำ ก็มีกะละมังแม่ค้าที่ใส่กบและอึ่งอ่างขังไว้รอคนมาซื้อ ถัดไปจากนั้นคือถาดใส่แมลงกินได้หลายชนิดวางไว้เป็นกองๆ มินับรวมลีลาการเลือกซื้อเลือกหา เจรจาต่อรองของบรรดาแม่ค้าและลูกค้านับสิบนับร้อย


ฉับพลันที่ผมเหม่อๆ มองดูสิ่งต่างๆ ขณะเดินอยู่ เท้าก็พลันไปเหยียบเอาแผ่นปูนปูพื้นที่ไม่เรียบและมีน้ำขังอยู่ จนกระฉอกขึ้นมาเปรอะเลอะเท้าผม ตอกย้ำความเลอะเทอะเฉอะชื้นที่เป็นอยู่จริงๆ ของตลาดสดที่ชัดเจนติดเนื้อติดตัว


เดินต่ออีกไม่กี่ก้าว ก็เห็นพระรูปหนึ่งยืนรอคนมาบิณฑบาตรอยู่ตรงหัวมุมตลาด จำได้ว่าเช้าๆ เช่นนี้มาตลาดนี้ทีไร เป็นต้องเจอพระคนนี้ ซึ่งดูไม่เหมือนพระสงฆ์จริงเอาเสียเลย พระที่ไหนจะมาหากินเกาะติดกับตลาดสดและยืนรอคนให้เอาของมาให้เช่นนี้เป็นประจำ


เมื่อซื้อข้าวของต่างๆ ที่ต้องการได้แล้ว ผมแวะแผงผลไม้เพื่อซื้อทุเรียนลูกหนึ่ง ป้าที่เป็นแม่ค้าบวกเลขบอกราคาของทุเรียนลูกที่เราเลือกอย่างรวดเร็วและแม่นยำจนเราต้องออกปากว่าทำไมป้าคิดเลขได้เร็วจัง แม้จะเป็นตัวเลขที่บวกลบคูณหารไม่ลงตัว แต่แม่ค้าส่วนมากมีความสามารถและพรสวรรค์ในการคิดเลขบวกเลขจากการคำนวณน้ำหนักและบอกราคาได้เร็วจริงๆ อาจเพราะประสบการณ์สั่งสมและการอยู่กับการคิดเลขบอกราคาเป็นประจำ


เช้าวันนั้นหลังการเดินตลาดและหอบข้าวของมากมีที่ซื้อหากลับมาได้ ผมเลิกง่วงงัวเงียแล้ว เพราะประสาทถูกปลุกให้ตื่นแทบทุกอณูความรู้สึกภายนอกภายใน ตลาดสดช่างมีความสนุกและเปี่ยมด้วยภาพชีวิตที่แสนจะคึกคักจนยากจะเปรียบได้ว่าความสนุกง่ายๆ ไม่ต้องซื้อต้องหา แต่สามารถชวนให้เรารู้สึก "สด" และ "สนุก" ได้เช่นนี้จะหาได้จากที่ไหนอื่นอีกๆ 


เพราะในความสดมีความสนุก และในความสนุกมีอยู่ที่ตลาดสดครับ

วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2554

อย่าลืมพา "หัวใจ" ตัวเองกลับบ้าน

   
    หากมีใครถามคุณว่า   คุณกลับบ้านครั้งล่าสุดเมื่อไร..คุณอาจจะหัวเราะขำๆ และตอบว่า คุณกลับบ้านทุกวัน และหากถามต่อไปว่า " คุณพาหัวใจตัวเองกลับบ้านครั้งล่าสุดเมื่อไร.." คุณจะตอบว่าอย่างไร.. นี่คือคำถามที่ทำให้เช้าวันอาทิตย์ของฉันเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล

    เมื่อเดือนก่อน ฉันรับงานรวบรวมข้อเขียนธรรมะให้กับลูกค้ารายหนึ่ง ที่ต้องการพิมพ์เป็นธรรมทาน หน้าที่ของฉันก็คืออ่านเรื่องราวข้อคิดธรรมะที่ลูกค้าท่านนั้นคัดสรรรวบรวมมาตลอดชีวิตทั้งหมด และคิดต่อไปว่าหนังสือธรรรมะเล่มนี้จะจัดหมวดหมู่เนื้อหาและรูปเล่มออกมาเป็นเช่นไรดีให้น่าสนใจ

    ระยะหลังมานี้ หรือเรียกอีกอย่างว่า อายุมากขึ้น ฉันกลายเป็นคนเขียนหนังสือช้า..ราวเต่าคลาน และอ่านหนังสือช้ามากกว่าเดิมเป็นสองเท่า ฉันกลายเป็นคนตั้งอกตั้งใจอ่านหนังสือทุกคำ ทุกตัว ราวกับกลัวว่าจะพลาดใจความสำคัญของเนื้อหา ทำให้การทำงานของฉันล่าช้าเสียจนฉันคิดว่าลูกค้าคงเริ่มเบื่อหน่ายกับการทำงานเชื่องช้าของฉันเต็มที  ฉัน่จึงพยายามเริ่มเคี่ยวเข็ญตัวเองให้มากขึ้น นั่นคือทุกเช้าระหว่างกินกาแฟและนั่งฟังเสียงนกยามเช้า ฉันจะต้องอ่านข้อเขียนธรรมะให้ได้วันละหนึ่งเรื่องไปพร้อมๆ กันด้วย

   หลายสัปดาห์ผ่านไป ฉันค้นพบว่าข้อเขียนธรรมะทุกเรื่องที่ได้อ่านล้วนมีพลังและให้ข้อคิดที่โดนใจมากมายเหลือเกิน ความทุกข์ที่คั่งค้างแต่คืนวาน บางครั้งถูกคลี่คลายด้วยข้อคิดสะกิดใจเพียงไม่กี่ประโยคในยามเช้านั่นเอง

   เช้านี้ก็เช่นกัน ฉันหยิบบทความธรรมะของพระอาจารย์ชาญชัย อธิปญโญ ในเรื่อง "พาใจกลับบ้าน" มาพลิกอ่านอย่างตั้งอกตั้งใจจนจบเรื่อง หัวใจก็พลันเบิกบานแจ่มใส
   พระอาจารย์ชาญชัยบอกว่า กายนั้นเป็นบ้านของใจ เมื่อเอาใจมาอยู่กับกาย ก็เหมือนให้ใจอยู่กับบ้าน หากเราปล่อยให้ใจของเราออกไปเที่ยวข้างนอกบ้าน ซึ่งมีภัยสารพัดอย่าง ใจที่ชอบหนีออกไปเที่ยวนอกบ้านจะได้รับภัย ทำให้ใจมีทุกข์เป็นประจำ   ท่านแนะนำว่าเราควรพา "หัวใจ" ตัวเองกลับบ้านบ้าง ในบ้านมีงานให้ทำมากมาย มีสิ่งให้รับรู้หลายสิ่งหลายอย่าง
  การหมั่นพาหัวใจตัวเองกลับบ้าน..จะช่วยทำให้กิเลสใหม่ไม่เข้ามาเพิ่มในบ้าน..ขณะเดียวกันก็ช่วยทอนกำลังของกิเลสเก่าที่อยู่ในบ้านให้อ่อนกำลังลงไป

   ใช่หรือไม่  ร่างกายของเรากลับบ้านทุกวัน..แต่บางครั้งหัวใจเราไม่เคยกลับถึงบ้านเลย..บ่อยครั้งใจของเราหลงทางอยู่กับความวิตกกังวลของวันพรุ่งนี้ที่ไม่เคยมาถึง..และบางทีก็ถูกความโศกเศร้าทุกข์ตรมจากอดีตวันวานกักขังหัวใจเราไว้ตลอดกาล.. บ้านของเรา. ที่ไม่มีหัวใจ...จึงเป็นบ้านที่รกเรื้อด้วยหยากไย่ ไร้ระเบียบ เพราะขาดการดูแลเอาใจใส่ และไม่เคยมีเวลาขัดเกลากิเลสออกจากบ้านตัวเอง

   วันนี้..ฉันพา "หัวใจ" ตัวเองกลับมาถึงบ้านแล้ว..หลังจากหัวใจของฉันเดินทางออกจากบ้านไปนานแสนนาน..
       แล้วคุณล่ะ วันนี้พาหัวใจตัวเองกลับบ้านหรือยัง?


Paokuntima
12/06/11

วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ดอกไม้ภายใน


หลายวันก่อนผมเก็บดอกเข็มอุณากรรณสีชมพูอ่อนบานสวยสองสามดอกที่ร่วงหล่นลงมาซบพื้นตรงนอกชานบ้านเอามาหยิบพินิจดูเล่น พลันก็เกิดความคิดขึ้นมาได้ว่า การเบ่งบานและคงอยู่ในเรือนต้น บนช่อดอกของเหล่าดอกไม้นั้นช่างแสนสั้น ดอกไม้ผลิบานเพื่อที่จะร่วงโรย เหตุใดกันช่วงเวลาที่สวยงามที่สุด เบ่งบานเต็มที่ที่สุด เปล่งสีส่งกลิ่นเพื่อเรียกแมลง ผึ้งและหมู่ภมร กระทั่งสายตาคนให้หยุดอยู่กับความหอมความหวานของกลีบเกสร และความสวยงามของดอกไม้ จึงเป็นช่วงเวลาสุดท้ายเมื่อความงดงามความสมบูรณ์ถึงพร้อมในช่วงเวลาเบ่งบานของดอกไม้...แล้วก็ร่วงหล่นร่วงโรยไปอย่างง่ายดาย


อาจเป็นความรู้สึกเดียวกันนี้หรือไม่ที่ทำให้คนเราตระหนักและหวงแหนเวลาแห่งความสุข ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ชีวิตจะเบ่งบาน เปล่งประกายเปี่ยมด้วยสีสันแห่งความสุขที่อยู่รายรอบออกมาให้คนอื่นๆ สัมผัสรับรู้ได้ดังกำลังมองการเบ่งบานของดอกไม้ แต่บ่อยครั้งเวลาแห่งความสุขก็ร่วงโรยและพ้นผ่านไปอย่างง่ายดายดุจห้วงเวลาสุดท้ายที่ดอกไม้สักดอกเบ่งบานเพื่อที่จะร่วงหล่นพ้นจากต้น

ผมหยุดดูดอกไม้ที่ผลิบานอยู่ในช่วงเวลานั้นและรับรู้ว่า แม้ดอกไม้ที่มองเห็นเหมือนจะสวยงามเพียงใดก็ตาม แต่ดอกไม้เหล่านี้ก็กำลังจะโรยรา เหี่ยวเฉา และแห้งเหี่ยวเปลี่ยนแปรไปอย่างรวดเร็ว เพราะชีวิตช่วงสุดท้ายของดอกไม้เมื่อหลุดจากกิ่งก้านช่อดอกและต้นออกไปแล้ว หากไม่มีการแช่น้ำถนอมเอาไว้ก็ย่อมง่ายดายที่ความสวยงามเบ่งบานที่เห็นจะเปลี่ยนสภาพและหมดเวลาแห่งความงดงามที่สัมผัสได้ไปอย่างรวดเร็วนัก

หากความรู้สึก ความตระหนักรู้เกี่ยวกับชีวิตและความสุขในคืนวันต่างๆ ที่ดำเนินไปของเราเบ่งบานเปรียบเหมือนดอกไม้จริงๆ ช่วงเวลาของความสุขคงไม่ทอดยาวไปได้ไกลเท่าไรนัก บางทีเราอาจต้องแปรเปลี่ยนความเบ่งบานและสีสันที่สวยงามของช่วงเวลาที่กำลังมีความสุขเหมือนดอกไม้ที่ผลิบานเต็มที่ แปรเปลี่ยนเข้ามาเก็บไว้ เป็นเหมือนภาพประทับใจของดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานอยู่ภายในตัวเรา...ไม่มีวันโรยราร่วงหล่น แต่เป็นดอกไม้ภายในที่อาจจะไร้การมีอยู่จริง มองไม่เห็น สูดดมกลิ่นไม่ได้ ชื่นชมกลีบดอกที่สวยงามเบ่งบานในขณะนั้นได้ยากเย็น

แต่หลับตาลงคราใด ก็รู้สึกถึงความสุขได้ทุกครา เหมือนภาพประทับของดอกไม้ที่ผลิบาน เบ่งบาน ไม่พ้นผ่าน ไม่หมดไป...นานเท่านาน

วันพุธที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2554

สัญชาตญาณบอก

ประมาณปลายสัปดาห์ก่อน a day Foundation และ 'บุญ Bike' ร่วมกันทำกิจกรรมฉายภาพยนตร์เรื่อง "เจ้าหนูสิงห์นักปั่น" Shakariki ที่โรงภาพยนตร์สกาล่า เพื่อหาเงินบริจาคซื้อจักรยานให้เด็กๆ ที่ขาดแคลน ผมในฐานะของคนใจบุญ (ฮา) และชอบจักรยาน เลยขออนุโมทนาบุญกับกิจกรรมครั้งนี้ด้วยการจองตั๋วเข้าร่วมกิจกรรมและไปนั่งดูหนังครั้งนี้ด้วยคน


หนังญี่ปุ่นที่สร้างจากการ์ตูนเจ้าหนูสิงห์นักปั่นนี้เล่าเรื่องของเด็กผู้ชายวัยรุ่นคนหนึ่งที่ชอบการขี่จักรยานมากๆ และไม่เกี่ยงว่าจักรยานที่เขาขี่จะต้องเป็นจักรยานแบบไหน หรือปั่นไปที่ไหน ขอเพียงได้ปั่นและปั่นเท่านั้นก็สุขใจ เขาหายใจเข้าหายใจออกเป็นการขี่จักรยานถึงขนาดเอาเรื่องการปั่นจักรยานไปเพ้อถึงขณะหลับในห้องเรียน จนต้องโดนครูเอาหนังสือฟาดหัว


เทรุคุงคือชื่อของวัยรุ่นคนนี้ที่ในที่สุด ความชอบและฝีมือในการปั่นจักรยานอย่างบ้าบิ่น ไม่เหน็ดเหนื่อยและหวั่นเกรงใครก็ไปเข้าตาเพื่อนๆ นักปั่นจักยาน ทำให้เขาเป็นที่สนใจของชมรมจักรยานแข่งขันของโรงเรียนซึ่งอยู่ในช่วงตกต่ำ เพราะขาดนักแข่งฝีมือดี การเข้าร่วมชมรมทำให้เทรุคุงจะต้องหัดและปรับตัวเพื่อที่จะรู้จักกับจักรยานแบบใหม่ที่ใช้แข่งซึ่งเขาเองไม่เคยรู้จักมาก่อน ที่เรียกว่า "โรดเรซไบค์" และที่สำคัญก็คือ การเรียนรู้ที่จะแข่งขันร่วมกับทีมพร้อมกับกฎระเบียบของการแข่งขันจักรยานทางเรียบที่หยุมหยิมมากมาย ใช่แต่เพียงว่ามีสัญชาตญาณในขี่จักรยานที่ดี เก่ง หรือชอบปั่นจักรยานเท่านั้นจะเพียงพอและเอาชนะการแข่งขันได้


ผมดูหนังเกี่ยวกับจักรยานและการแข่งขันแบบ "สะอาดๆ" ซึ่งให้พลังที่ดีตามประสาหนังญี่ปุ่นเรื่องนี้ด้วยความสนุก และแอบลุ้นว่า การที่เอาตัวเองเข้ามาพัวพันกับวงการแข่งขันจักรยานจะทำให้ "สัญชาตญาณ" ในตัวของตัวเอก ซึ่งคือเทรุคุงในเรื่องจะสูญเสียไปหรือเปล่า เพราะในหนังมีตัวเปรียบเทียบอีกคนซึ่งเป็นนักปั่นยอดฝีมือจากโรงเรียนคู่แข่งชื่อยูตะ ซึ่งแม้จะปั่นจักรยานเก่งและเร็ว แต่ก็เอาจริงเอาจังเข้มงวดและต้องการเอาชัย มากกว่าจะเป็นความสนุกจากภายในหรือความรู้สึกรักชอบที่จะปั่นเหมือนเทรุคุง


อีกมุมหนึ่งนั้นหนังเรื่องนี้บอกเล่าถึงประวัติในวัยเด็กของเทรุคุง ซึ่งไม่มีเพื่อนและเติบโตขึ้นมาในเมืองแห่งหนึ่งในแถบคันไซ (ภาคตะวันตกของญี่ปุ่น) ซึ่งสภาพของเมืองเป็นเนินเขาจนทำให้ไม่มีเด็กๆ หรือคนทั่วไปในเมืองนั้นที่จะใช้จักรยานกัน เพราะความเป็นเนินสูงที่ไม่เอื้อต่อการใช้จักรยาน แต่เทรุคุงก็ไม่เคยท้อ แม้จะโดนเพื่อนในวัยเดียวกันล้อหรือแซวในความดื้อดึงที่จะปั่นจักรยานเพื่อเอาชนะเนินสูงของเมืองก็ตาม แต่เขาก็ไม่ท้อแท้หรือเลิกปั่น แต่กลับกลายเป็นยิ่งรักยิ่งชอบการปั่นจักรยานขึ้นเนินเอาชนะความสูงเพิ่มเติมขึ้นมาอีก


ในตอนท้ายของหนัง เทรุคุงเอาชนะยูตะ สุดยอดนักปั่นได้ในที่สุด แต่เขาก็ไม่ได้เป็นเข้าเป็นที่หนึ่ง เพราะ "เอส" หรือตำแหน่งผู้นำทีมในทีมเดียวกันที่ชื่อป๊อบโปะเป็นผู้เข้าเส้นชัยไปก่อน ในระยะทางกว่า 100 กิโลเมตรของการแข่งขันจักรยานทั้งยังต้องป่ายปีนเขาสูงชัน นอกจากความเร็วและความอดทน สิ่งที่เทรุคุงไม่เคยสูญเสียไปเลยก็คือ "สัญชาตญาณในตัว" ในการเป็นคนรักจักรยานและชอบการปั่นจักรยาน ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางใดๆ หรือบนสนามแข่งขัน


ภาพเกือบสุดท้ายของหนังเรื่องนี้เป็นภาพเทรุคุงทรุดตัวลงข้างจักยานหลังเข้าเส้นชัย แล้วพูดกับตัวเองดังๆ ว่า " เหนื่อยมาก แต่ก็มันสุดๆเลยที่ได้ปั่นจักรยาน" บ่งบอกว่าการแข่งขันและโลกของความเร็วบนอานจักรยานที่เขาพาตัวเองเข้าไปข้องเกี่ยวนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงความรักความฝันจักรยานในตัวเขา


ตอนนั้นเองที่ทำให้ผมได้คิดว่า คนเราอาจจะเป็นอะไรก็ได้ หรือเรียนรู้อะไรก็ได้ แต่น่าจะดีกว่าถ้าเรายังรักษาสัญชาตญาณหรือธรรมชาติในตัวตนของความเป็นเราเอาไว้ให้ได้


แม้จะไม่ใช่เรื่องจักรยาน แต่โลกและชีวิตก็คอยเปรียบเทียบและผลักดันเราเข้าสู่การแข่งขัน คงต้องคิดกันแล้วล่ะครับว่าทำอย่างไรเราจึงจะออกไปปั่นอย่างเสรี และอยู่กับโลกอย่างไม่สูญเสียความเป็นเร

วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2554

บานหน้าต่างสู่ชีวิต

ชีวิตมีเงื่อนไขเพื่อก่อเกิดความสุขอันเรียบง่ายได้ไม่ยากเย็น แต่ก็ดูเหมือนเป็นความลับอันเร้นลึกและศิลปะแห่งความเป็นคนที่ต้องคอยค้นหา เรียนรู้ และทดลองทำ


บางทีเราก็ต้องการความกล้าบ้าบิ่น ทำอะไรที่แตกต่าง ออกไปทายท้าโลกและความคุ้นเคยเดิมๆ ดูบ้าง บางทีเราเองก็อาจต้องการความนิ่งเฉยเฉื่อยเนือยในบางจังหวะลีลาของชีวิตที่กำลังบอกกับเราว่า จะสุขขึ้น ถ้าหากว่าชีวิตให้ช้าลง


โลกเปรียบเหมือนบ้านหนึ่งหลังที่ต้องมีประตู หน้าต่าง เสา หลังคา และระเบียง รวมกันทำหน้าที่ประกอบขึ้นมาเป็นบ้านที่สมบูรณ์ เพื่อให้คนอยู่ในบ้านมีกิจกรรมต่างๆ ที่น่าสนใจ ใช้ชีวิตได้ดี กระทั่งมีความพร้อม ความกล้าหาญและกำลังใจที่เข้มแข็งที่จะออกจากบ้านของเรา ไปเคาะประตูบ้านหลังอื่น และร่วมบรรเลงบทเพลงแห่งความเป็นโลก ที่หลายชีวิตต้องขับเคลื่อนไปพร้อมๆ กัน


หากประตูบ้านบานใหญ่นำเราออกไปจากบ้านสู่เรื่องราวและประสบการณ์แปลกใหม่หลากหลายได้ง่ายดาย แต่แค่เพียงปิดประตูลง เราและโลกภายนอกก็จะกลับกลายเป็นคนละส่วนกันทันที ขณะที่บ้านหนึ่งหลังต้องมีประตูทำหน้าที่เปิดหรือปิดกั้น บานหน้าต่างกลับกำลังทำหน้าที่แตกต่างกันออกไป บางครั้งเราไม่ต้องเดินออกไป หรือกระโจนผ่านทางหน้าต่าง แค่เพียงนั่งนิ่งๆ และไม่ปล่อยให้บานหน้าต่างนั้นปิดลง สายตาและมุมมองของเราก็อาจเดินทางได้กว้างไกลไปสุดลูกหูลูกตา ตามแต่ใจปรารถนา


ไม่ว่าโลกหนึ่งใบหรือชีวิตชีวิตหนึ่งล้วนต้องการหน้าต่างไว้คอยผ่อนคลายสายตา เปิดมุมมองของเราสู่ทัศนียภาพภายนอก หน้าต่างแม้จะทำหน้าที่ใกล้เคียงกันกับประตู คือต้องเปิดออกไปจึงจะสามารถพาทั้งตัวตน สายตา ความคิดที่ล่องลอยของเราพ้นผ่านกรอบประตูและบานหน้าต่างไปได้ แต่บ่อยครั้งเรากลับเพิกเฉยหรือไม่สนใจที่จะให้ความสำคัญต่อ "การเปิดหน้าต่าง" ของชีวิต ด้วยความกลัวความมืดภายนอก กลัวความไม่คุ้นเคย กลัวความแปลกใหม่แปลกหน้า ฯลฯ ด้วยความกลัวและความเกรงทั้งหลายจึงง่ายดายที่บานหน้าต่างของชีวิตของหลายๆ คนจะถูกหลงลืมว่ามันเปิดได้ ถูกปิดลงหรือแม้แต่ปิดตาย


โลกเบื้องหลังกรอบประตูและบานหน้าต่างอาจไม่งดงามหรือเป็นไปตามอย่างที่คาดคิดเอาไว้เสมอ แต่ก็มีเชื้อแห่งความแปลกใหม่ให้ชีวิต ดุจอากาศใหม่ๆ และสายลมเย็นๆ ที่เคลื่อนไหวผ่านหน้าต่างเข้ามาในบ้าน ดุจภาพกว้างไกลและงดงามจากภายนอกที่จะประจักษ์ต่อสายตา ขอเพียงเราไม่ปิดกั้นโอกาสและเปิดใจ เปิดบานหน้าต่างเอาไว้...ออกไปสู่ความกว้างไกลทายท้าของชีวิต

วันพฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2554

บานประตูสู่ขุนเขา

กาลครั้งหนึ่งนานหลายปีแล้ว ฉันเลือกที่จะมีอิสรภาพด้านเวลา แล้วหันหลังให้กับความมั่นคงทางการเงิน นั่นคือวันที่ฉันลาออกจากงานประจำ
การลาออกไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การตื่นขึ้นมาแต่ละวันเพื่อถามตัวเองว่า วันนี้จะเหมือนวันว่างๆ เมื่อวานหรือวานซืนหรือเปล่า พรุ่งนี้ฟรีแลนซ์อย่างเราจะมีงานเข้ามั้ย เราจะมีแรงผลักดันตัวเองจากอิสระอันล้นเหลือชวนเสียผู้เสียคนนี้หรือไม่
สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องยากยิ่งกว่า

หวนกลับไปมองช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่น่าอิจฉาไม่ใช่น้อย
ไม่มีนาฬิกาปลุก ไม่ต้องเด้งตัวเองลุกจากเตียง เช้าวันฝนตก ก็นอนอุตุ (ล้วนแล้วแต่เป็นนิสัยของคนขี้เกียจทั้งสิ้น :)
วันไหนมีงาน ไปทำงาน วันไหน ไม่มีงาน ก็หางานทำเอง
ไปเที่ยวต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ ถ้าไม่ติดเรื่องงบ จะอยู่ยาวแค่ไหนยืดหยุ่นได้เสมอ
ช่วงวันหยุดลองวีคเอ็นด์ เราเก็บตัวจำศีล พอถึงวันธรรมดา เราลั้ลลาตามอัธยาศัย
บ้านคือที่ทำงาน บ้านคือร้านอาหาร บ้านคือโรงแรมส่วนตัว
ชีวิตผูกพันกับบ้านมากขึ้น

แต่แล้วโชคชะตาฟ้าลิขิตให้ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ชีวิตบทใหม่จะเริ่มขึ้น เมื่อโอกาสเปิดประตูให้ฉันก้าวเดินไปบนความท้าทายอันใหม่
พี่เป้า หนึ่งในสามสหายของบล็อกตะลุมบอนบอกว่า ยิ่งโต (หรือยิ่งแก่นั่นเอง) ก็ยิ่งเชื่อว่าชีวิตคนเราถูกลิขิตไว้แล้ว
โอกาสเป็นของแปลก จู่ๆ ก็มา จู่ๆ ก็ไป แล้วจู่ๆ ก็วกกลับมาใหม่
นี่คือโชคชะตาของฉันในช่วงนี้

ประตูบานหนึ่งได้เปิดขึ้น เราไม่มีทางรู้เลยว่าหนทางที่ทอดยาวเบื้องหลังบานประตูจะเป็นเช่นไร นอกจากเดินไปดูด้วยตาตัวเอง
เส้นทางจะราบเรียบ ขรุขระ หรือเจอภูเขาสูงชัน เมื่อตัดสินใจออกเดินแล้ว ขอให้เชื่อเถอะว่า เราแข็งแรงกว่าที่คิดเสมอ
เมื่อโอกาสมาหา ฉันไขว่คว้าไว้ และบอกกับตัวเองว่า แม้ไม่ได้เห็นแสงอาทิตย์ยามเย็นที่หน้าต่างห้องทำงานที่บ้าน แต่ฉันจะเห็นแสงยามเช้าบนเส้นทางสู่ออฟฟิศใหม่
สวัสดีงานประจำ เจอกันอีกครั้งล่ะนะ

แทนการเดินทางอันรื่นรมย์

โปสการ์ดขนาดใหญ่กว่าปกติ ส่งจากดาร์จีลิง อินเดียจากบ้าน Feel Good แปะอยู่บนฝาด้านบนของตู้เย็นที่บ้าน ส่งถ้อยคำปลุกเร้าหัวใจให้คร่ำครวญหาการเดินทาง...โดยเฉพาะรสชาติการเดินทางในอินเดียที่ยากจะหาใดเปรียบ


โปสการ์ดจากครอบครัวศรีบุณยาภิรัต เชียงใหม่ แต่เป็นเรื่องราวการเดินทางเที่ยวเชียงรายของครอบครัวเพื่อน บอกเล่าความสนุกและความคิดถึงผ่านลายมือของพ่อ แม่ ลูกลงในกระดาษใบเดียวกัน พร้อมกับตราปั๊มจากวัดร่องขุ่น สนับสนุนข้อความว่าได้ไปเที่ยวที่นั่นแล้วจริงๆ


...ยังคงมีโปสการ์ดอีกนับร้อยๆ ใบที่เคยเขียนและส่งมาถึง เมื่ออ่านแล้วที่ทางของโปสการ์ดเหล่านี้อาจจะอยู่ในแฟ้มที่เอาไว้เก็บโปสการ์ดโดยเฉพาะ แปะไว้ด้วยแม่เหล็กติดตู้เย็น ห้อยแขวนไว้บนราวแต่งฝาบ้าน หรือแม้แต่กระทั่งถูกเก็บลงไว้ในกล่องก็ตาม แต่ที่ทางหนึ่งอันแน่นอน ซึ่งโปสการ์ดทุกใบและทุกเรื่องราวที่ได้รับมาเอาไว้ถูกเก็บเอาไว้ ก็คือในหัวใจ


ธรรมเนียมของการเขียนและส่งโปสการ์ดถึงเพื่อนฝูง คนในครอบครัว หรือคนที่เราคำนึงถึง แม้แต่กระทั่งส่งถึงตัวเอง อาจจะเริ่มขึ้นมานานเพียงใดแล้วคงไม่มีใครให้คำตอบได้แน่ชัด รู้แต่ว่าต่อให้เป็นยุคสมัยของโทรเลข โทรศัพท์ทั้งแบบมีสายหรือไร้สาย อีเมลหรืออี- การ์ด ทวิตเตอร์หรือเฟซบุ๊กเหมือนเช่นวันนี้ ก็ยังมีใครหลายคนที่ผูกสมัครรักใคร่กับการพกกระดาษแผ่นน้อยๆ ที่ด้านหนึ่งเป็นภาพสวยๆ อีกด้านเป็นหน้ากระดาษขาวๆ เอาไว้บรรจุเรื่องราว ความรู้สึก ความรักความชอบ ความสนุกหรือเรื่องบ่นปรับทุกข์ลงในหน้าว่างๆ แม้จะบรรจุได้ไม่กี่ข้อความของโปสการ์ด อย่างไม่เคยพ้นยุคพ้นสมัยไปเสียที


และโดยเฉพาะในยามที่เราได้เดินทางไปเปิดหูเปิดตา ไปประสบกับแรงบันดาลใจก้อนใหญ่ก้อนโต ความสนุกหรือประทับใจที่ล้นอก คนที่ชอบเขียนชอบบันทึก ก็ยิ่งอยากจะหามุมสงบนั่งลง จรดปากกาบนด้านหลังโปสการ์ดเพื่อบอกเล่าถึงสิ่งที่ได้ประสบพบเห็น...บนการเดินทางหนึ่งๆ เพื่อส่งหาใครสักคน จนกลายเป็นเหมือนเรื่องราวหรือองค์ประกอบหนึ่งจากการเดินทางที่หากไม่ทำ ไม่เขียน ไม่ส่งถึงใครแล้ว เป็นอันไม่ครบรสชาติการเดินทางที่รื่นรมย์


 ความพิเศษและงดงามของเรื่องราวในโปสการ์ด อาจมิได้เป็นเพียงเรื่องราวที่บอกเล่าสะท้อนผ่านตัวหนังสือของผู้เขียนถึงผู้ส่งเท่านั้น แต่ยังเป็นภาพงามๆ ด้านหน้าโปสการ์ด ตราประทับบ่งบอกการออกเดินทางจากจุดแรกของการส่ง พร้อมกับแสตมป์ที่เป็นเอกลักษณ์จากแต่ละถิ่นที่ เมื่อทุกๆ อย่างประกอบเข้าด้วยกัน โปสการ์ดก็กลายเป็นเหมือนงานศิลปะชิ้นเล็กๆ หรือแกลลอรี่เคลื่อนที่ ที่พร้อมจะเดินทางผ่านสายตาเข้าถึงหัวใจของผู้รับที่ปลายทาง


แม้อย่างน้อยโปสการ์ดสองใบจากครอบครัวพี่ๆ เพื่อนๆ ที่ส่งมาให้ที่บ้าน จะยังไม่มีการเขียนตอบ แต่ผมอยากจะเอ่ยคำหนึ่งเอาไว้ตรงนี้ว่า...


...ขอบคุณยิ่งที่คิดถึงกัน

วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2554

หลุมสบาย

   คงมีนายจ้างน้อยคนนักที่รู้สึกแฮปปี้ ถ้าเห็นพนักงานของตนกำลังคร่ำเคร่งไล่สายตาไปบนหน้า classified เพราะการเปิดดูหน้าสมัครงาน ร้อยทั้งร้อยพะยี่ห้อว่ากำลังเตรียมชิ่งหางานใหม่อยู่แหงๆ
แต่เชื่อหรือไม่ อดีตนายจ้างของฉันกลับส่งเสริมให้ลูกน้องทุกคนหมั่นเปิดดูหน้า classified อยู่เสมอ
คุณปรีชา ประกอบกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด อดีตนายใหญ่ที่สุดของฉันมักบอกพนักงานอยู่เสมอว่า แม้จะมีงานประจำที่มั่นคงแล้ว จงอย่าละเลยการเปิดดูหน้าสมัครงาน
ฟังแล้วน่าหวาดเสียว หรือเจ้านายจะบอกเป็นนัยๆ ว่าเตรียมหางานใหม่ได้แล้ว

มนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่มองว่างานประจำคือความมั่นคงทางการเงิน ทุกสิ้นเดือนมีรายได้แน่นอนเข้าบัญชี บางคนทำงานนานๆ เข้า ระดับความตื่นเต้น ความกระตือรือร้น ความขยัน และความใฝ่รู้ก็ลดน้อยลง
กลายเป็นอยู่ไปเรื่อยๆ ทำไปตามหน้าที่ เดี๋ยวสิ้นเดือนก็มีเงินโอนเข้าบัญชี เรียกได้ว่า ณ จุดนี้ปลอดภัยหายห่วง  
ฝรั่งเรียกอาการแบบนี้ว่ากำลังติดอยู่ใน comfort zone คุณปรีชาใช้คำว่า หลุมสบาย

คำว่าหลุมอาจฟังดูน่ากลัวบ้าง แต่นึกดูแล้วก็เหมาะสมดี เพราะหลุมคือสภาพของแอ่งที่มีความลึกพอประมาณ ความกว้างพอให้ดิ้นขลุกขลักได้นิดหน่อย ด้วยความที่เป็น “comfort” zone เมื่อนั่งแช่ในหลุมแล้วสบายดี ก็เลยไม่ค่อยอยากขยับเขยื้อนเนื้อตัวไปไหน
นี่คืออาการของคนทำงานประจำนานๆ (หรือแม้แต่คนที่ไม่ทำงานประจำนานๆ เช่นฉัน เหมือนกัน)
คุณปรีชาบอกว่าแม้จะทำงานที่แอมเวย์มาหลายสิบปีแล้ว เขายังคงเปิดดูหน้า classified อยู่เสมอ นัยยะที่ซ่อนอยู่ในประกาศรับสมัครงานทำให้เขาไม่หยุดพัฒนาตนเอง

เมื่อเราอ่านประกาศรับสมัครงาน จะพบว่าคุณสมบัติล้ำเลิศคือสิ่งที่ทุกบริษัทต้องการ ไม่ว่าจะเป็นทักษะพูด-อ่านและเขียนภาษาอังกฤษเป็นเลิศ สู้งานหนัก มนุษย์สัมพันธ์ดี มีความรับผิดชอบสูง ฯลฯ 
การที่คุณปรีชาบอกให้พนักงานเปิดดูหน้าสมัครงาน จึงไม่ใช่การเปิดสัญญาณเตือนภัย แต่หมายถึงการส่งเสริมให้พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง เพราะคนที่พร้อมจะสมัครงาน ย่อมต้องเตรียมความพร้อมเข้าสู่สนามแข่งขัน

อย่ามัวนอนนิ่งติดแหง็กใน comfort zone แม้อากาศด้านนอกหลุมอาจไม่เย็นสบายเท่า แต่แสงแดดที่สดใสก็ชวนให้หัวใจออกเริงร่า สายฝนที่ตกพรำท้าทายให้เราวิ่งหลบฝน
 จะเป็นตอไม้ที่ตายแล้ว
หรือใบมีดที่แหลมคม
เราเป็นผู้เลือกเองทั้งสิ้น

ดอกไม้..บ้าน..และความรัก

    "วันนี้จะไปโอนบ้านแล้วนะพี่"
       เพื่อนรุ่นน้องของฉันคนหนึ่งโทรมาแจ้งข่าวยามสาย ฉันรู้สึกยินดีปรีดาอย่างยิ่งที่ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเธอ สามารถซื้อบ้านเดี่ยวราคากว่า 5 ล้านบาทด้วยน้ำพักน้ำแรงและเงินทุกบาททุกสตางค์ด้วยตัวเองโดยแท้ และที่สำคัญการที่เพื่อนซื้อบ้าน ก็เท่ากับฉันมีที่พักผ่อนหย่อนใจเพิ่มขึ้นอีกที่หนึ่ง

     เธอบอกฉันว่า ที่บ้านเธอมีต้นปีบขนาดใหญ่หลายต้น เจ้าของเดิมปลูกไว้แล้ว กลิ่นกำลังหอมยวนใจ และเธอกำลังรื้อทำครัวใหม่เพื่อให้มีขนาดใหญ่กว่าเดิม พวกเราจะได้เอาตัวเข้าไปสุมในครัวเพื่อทำอาหารสำหรับเพื่อนๆ เธอยังเล่าต่อไปว่าจะลงไม้ดอกอีกหลายชนิด โดยเฉพาะไม้ดอกไทยๆ สำหรับเรา..บ้านที่เป็นบ้านจะต้องมีดอกไม้

   พวกเราชอบดอกไม้โบราณ เราเคยใฝ่ฝันจะปลูกจันทร์กระพ้อ เพราะหลงใหลได้ปลื้มกับเพลงดอกจันทร์กระพ้อร่วงพรู ใจไม่เคยร่วงสู่ แผ่นดินถิ่นไหน..โดยง่าย..แต่พอไปสอบถามราคาจันทร์กระพ้อแล้วต้องทำหน้าท้อกลับมา เพราะราคาแพงระดับหลักหมื่น แถมออกดอกยากเย็นเข็ญใจ กว่าจะได้เห็นดอก บางทีเราก็อาจแก่เฒ่าไปเสียก่อนก็ได้ ดังนั้นแค่ดอกปีบ นางแย้ม  สายหยุด  ราคาหลักร้อยก็น่าจะทำให้เรามีความสุขได้เช่นกัน

  การจะมีบ้านสักหลังในยุคนี้ยังคงเป็นเรื่องสุดเอื้อม ด้วยสนนราคาหลักล้านซึ่งไมได้หากันง่ายๆ เลยสำหรับคนทำงานประจำ  แต่ก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่เราจะไม่ยอมลงแรงเพื่อซื้อบ้านของตัวเอง ฉันมีเพื่อนอีกคนหนึ่งที่น่าจะเป็นแรงบันดาลใจดีที่สุดสำหรับคนที่อยากมีบ้านเป็นของตัวเอง

   เพื่อนฉันคนนี้เธอใฝ่ฝันอยากมีบ้านเป็นของตัวเองตั้งแต่เด็ก และตั้งใจเก็บเงินเพื่อซื้อบ้านมาตลอดชีวิต แรงบันดาลใจของเธอนั้นแสนเศร้า..เธอเล่าว่าตอนเด็กๆ เธอไม่มีบ้าน..ความทรงจำอันแสนขมขื่นก็คือ เมื่อไม่ได้จ่ายค่าเช่าบ้าน พ่อแม่และพี่ๆน้องๆของเธอจะต้องย้ายบ้าน เธอย้ายบ้านนับครั้งไม่ถ้วน..ภาพความเจ็บปวดฝังลึกในใจเด็กหญิงตัวเล็กๆ อย่างเธอ ที่รู้สึกว้าเหว่และขาดที่พักพิงอันมั่งคง..ยามฝนตกฟ้าร้อง..บ้านเช่าหลังไหนก็ไม่เคยอบอุ่นและปลอดภัยเท่ากับบ้านของเราเอง...

  นอกจากไม่มีบ้านแล้ว เงินค่าอาหารกลางวันก็ยังมีไม่พอ..เธอต้องไปช่วยร้านก๋วยเตี๋ยวในโรงเรียนล้างจานเพื่อแลกกับอาหารกลางวัน..ชีวิตขาดแคลนไปหมดเสียทุกอย่าง..ยกเว้นความฝันเดียวที่ยังคงเต็มเปี่ยมเสมอนั่นก็คือ ความฝันที่จะมีบ้าน

  ฉันฟังเรื่องนี้ทีไร น้ำตาก็พลันจะร่วงรินเสียทุกครั้ง แต่ก็ยังชอบให้เธอเล่าให้ฟังซ้ำๆ ทุกครั้งที่ไปนั่งอยู่บ้านของเธอ พร้อมจิบกาแฟรสชาติดี ทอดสายตาไปที่สวนสวยรอบบ้านที่ถูกจัดแต่งอย่างงดงาม
  ใช่แล้ว นี่คือบ้านของเธอราคากว่า 4 ล้านบาท และแน่นอนเงินทุกบาทุกสตางค์ถูกอดออมมาอย่างดีตั้งแต่วันแรกที่เธอเริ่มต้นทำงาน

  เธอบอกฉันว่า "ฉันไม่ได้มีรายได้มากกว่าคนอื่นเลย เพียงแต่มีความฝันเดียวที่จะมีบ้าน และก็พยายามทำความฝันให้สำเร็จ"

   เพียงแค่เราฝันที่จะมีบ้าน ก็เท่ากับเริ่มต้นวางอิฐก้อนแรกไว้ที่บ้านของเรา

  ฉันขับรถออกจากบ้านของเธอในยามเย็น ฟ้าสีส้มอมเทาข้างหน้า ตัดกับทิวดอกลั่นทมสีขาวพราวสะพรั่งสองฝั่งถนนทางเข้าหมู่บ้านของเธอ เป็นภาพงามตาที่น่าประทับใจ 

  แม้ฉันไม่มีบ้านเป็นของตัวเองจริงๆ  แต่มีที่พักใจอบอุ่นเหมือนบ้านตัวเองเพิ่มขึ้นทุกปี..ทันทีที่มิตรสหายโทรมาบอกว่ากำลังตัดสินใจซื้อบ้านใหม่ ^ ^

Paokuntima
1/06/2011

ร่วมสนุกกับตะลุมบอนจ้า...


พวกเราสามตะลุมบอน เป้า / หมวย / อิท ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่าน
ที่เป็นกำลังใจให้พวกเราด้วยดีเสมอมา
แทนคำขอบคุณจากใจ..เราจึงขอมอบหนังสือและของที่ระลึกจากฝีมือพวกเราล้วนๆ อันได้แก่
1. ไม่มีวันยอมแพ้ขอแค่มีกำลังใจ จาก เป้า กันทิมา (2 รางวัล)
2. ความสุขในสวนหลังบ้าน จาก อิท มะดินกี่ (1 รางวัล)
3. วันที่ชีวิตเดินทาง จาก  อิท มะดินกี่ (1 รางวัล)
4. พวงกุญแจ hand made เก๋ไก๋ทำจากใจของ เทียนอันหมวย (2 รางวัล)

รวมเป็น 6 รางวัล ส่งกันมาเยอะๆ นะคะ (แม้ของรางวัลเราจะมีน้อย ^ ^)
หมดเขต 10 มิถุนายนนี้
ประกาศรายชื่อผู้ได้รับรางวัลวันที่ 15 มิถุนายนนี้นะคะ

"กลุ่มตะลุมบอน"