วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Pirate not Navy....จงเป็นโจรสลัด..อย่าเป็นทหารเรือ

      ฉันเพิ่งบากบั่นอ่านเรื่องราวของสตีฟ จ็อบส์ อันหนักและหนาจบลงด้วยความประทับใจอย่างยิ่ง และเขาน่าจะเป็นบุคคลที่ฉันจะเก็บขึ้นหิ้งในฐานะบุคคลที่มีมุมมองและความคิดที่ฉันชื่นชอบมากที่สุดคนหนึ่ง ด้วยแนวคิดสุดเท่หลายประการ แต่ที่ประทับใจคงจะเป็นแนวคิดการทำงานที่สตีฟ จ็อบส์ บอกว่า เราควรเป็นโจรสลัด ไม่ใช่ทหารเรือ

     Pirate not Navy เป็นประโยคเด็ดโดนใจฉันจริง ๆ  ทำให้ฉันตีความเอาเองว่าการทำงานประจำซ้ำซากอยู่ในกรอบนั้นทำให้เรากลายเป็นคนสงบเสงี่ยม ไม่กล้าคิดอะไรหลุด ๆ ฉีกแนวอย่างสุดขั้ว หรือกล้าทำอะไรแตกต่างจากเดิม หากเป็นเช่นนี้อย่าหวังว่าเราจะมีไอเดียบรรเจิดสร้างอะไรพิเศษพิสดารที่จะเปลี่ยนโลกใบนี้ได้  เปรียบไปเหมือนทหารเรือที่เฝ้าระวังรักษาเรืออย่างมีระเบียบแบบแผน ทำทุกอย่างรอบครอบและเน้นความปลอดภัย แตกต่างจากบรรดาโจรสลัดที่ใช้ชีวิตอย่างโลดโผน กล้าทำสิ่งท้าทาย ไม่กลัวสิ่งใด ๆ เพื่อจุดมุ่งหมายคือค้นพบมหาสมบัติล้ำค่าให้ได้

   บรรดาโจรสลัดหัวสมองชั้นเลิศชอบความท้าทาย และคลั่งไคล้ผลิตภัณฑ์ จึงมารวมตัวกันที่บริษัท แอปเปิ้ล และสร้างนวัตกรรมแปลกใหม่ เปลี่ยนโลกทั้งใบด้วยตระกูลไอทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น ไอพอด ไอโฟน ไอแพด ทั้งหมดเกิดขึ้นได้เพราะสตีฟ จ็อบส์ มี ไอลีดเดอร์ชิป ( Ileadership )


    คุณพอจะมีนิสัยโจรสลัดบ้างไหม ? ถ้าหากไม่เคยคิด ไม่เคยมี ปีใหม่นี้น่าจะเป็นวาระดี ๆ ที่น่าจะลองคิดลองเป็นโจรสลัดกันสักครั้ง การเป็นโจรสลัดของสตีฟ จ็อบส์ ไม่ได้หมายความว่าให้คุณหยิบอาวุธออกไปปล้นฆ่าช่วงชิงทรัพย์สินคนอื่นหมือนโจรสลัดโซมาเลีย แต่คงสนับสนุนให้คุณหยิบอาวุธความคิดสนุก ๆ แปลกใหม่ในชีวิตออกมาขัดสีฉวีวรรณ ทำอะไรใหม่ ๆ ที่สร้างสรรค์ และมุ่งมั่นฟันฝ่าจนได้หีบมหาสมบัติล้ำค่าเป็นผลงานชิ้นสำคัญในชีวิตสมดั่งความตั้งใจ

     ปิดตาสักดวง...ติดตะขอที่มือสักข้าง...แต่เปิดสมองให้โล่งกว้าง...แล้วมาเป็นโจรสลัดกันสักครั้งเถิดพวกเรา..

PAOKUNTIMA  ^ ^
29/12/2011

วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2554

หยดน้ำที่เติมตุ่ม



ทุกๆ โมงยามทุกๆ เข็มวินาทีที่เคลื่อนไหว เต็มไปด้วย "พลังงาน" หรือ "ศักยภาพ" บางอย่างที่เราอาจไม่เคยรู้สึกหรือมองข้ามไป...


หากหนึ่งวินาทีเป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็กๆ ของเวลา แล้วหกสิบวินาทีจะมีความหมายเท่ากับหนึ่งนาที หกสิบนาทีก็มีค่าเท่ากับหนึ่งชั่วโมงได้กระนั้นหรือ


เวลาหนึ่งวันและอายุของคนเราที่เคลื่อนไปซึ่งล้วนประกอบด้วย "เสี้ยวเล็กๆ" ของกาลเวลาอย่างเสี้ยววินาที ที่พอเราเผอเรอ มองข้ามกาลเวลาก็เคลื่อนผ่านไปอย่างน่าเสียดาย


..............................................


หลายวันที่ผ่านมามีการนัดเจอกันของรุ่นพี่และเพื่อนสนิทเพื่อล้อมวงกินข้าวและน้ำเมาตามประสากันที่บ้านของผู้เขียน


ตามธรรมเนียมของการพบปะ เมื่อกินข้าวปลาเสร็จแล้ว จู่ๆ ก็มีเพื่อนคนหนึ่งโพล่งขึ้นมาว่า "ปีหน้าอาจจะออกจากงานเพราะเบื่องานมาก แล้วจะเริ่มต้นการเลี้ยงไส้เดือน" เพื่อเอาขี้ไส้เดือนและดินที่ไส้เดือนพรวนนั้นขาย สร้างเงินทองเป็นอาชีพเลี้ยงตัว


จากนั้นก็เลยมีหัวข้อการสนทนาให้แต่ละคนร่วมตอบ พูดคุยกันว่า "ปีหน้าเราจะเริ่มทำอะไรดี?"
..............................................


จากความเบื่องาน เบื่ออาชีพเดิมๆ เบื่อการทำงานที่เคยทำมา เบื่อสิ่งแวดล้อมรายรอบตัว และเบื่อสิ่งต่างๆ ตามธรรมดาที่เกิดขึ้นได้ประสามนุษย์เดินดินกินข้าวแกง คนเราจึงมักจะมองหา "เวลาใหม่ๆ" เพื่อการเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ๆ ให้กับตัวเองอยู่เสมอ


เวลาใหม่ๆ ที่ว่ามักจะเป็น "วันเกิด" วันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ หรือวันสำคัญในชีวิตด้วยความตั้งใจที่จะให้เป็นหมุดหมายอันเป็นมงคลแก่ชีวิตว่า "ถึงเวลา" หรือได้เวลาเริ่มต้นลงมือทำสิ่งใหม่ๆ ให้กับชีวิตที่ลดน้อยถอยลงตามการเคลื่อนไปของกาลเวลาเสียทีได้แล้ว
..............................................


ตอนเด็กๆ นั้นเรื่องเล่าเกี่ยวกับ "มะกะโท" ซึ่งเป็นตัวละครสำคัญในเรื่อง "ราชาธิราช" เล่าถึงความอุตสาหะและความเฉลียวฉลาดของมะกะโทในการไปซื้อพันธุ์ผักกาดมาปลูกได้ด้วยเบี้ยเบี้ยเดียวด้วยการเอานิ้วมือเดียวที่เปียกชื้นจิ้มลงในกระจาดใส่เมล็ด เมล็ดผักกาดจึงติดนิ้วเขาขึ้นมามากมาย เป็นเรื่องหนึ่งที่ผมชอบอ่าน


เรื่องเล่าของมะกะโทอาจจะไม่เกี่ยวกับการพูดคุยแลกเปลี่ยนของผองเพื่อนเรื่องการเลี้ยงไส้เดือนหรือการลงมือทำอะไรใหม่ๆ เมื่อเวลาย่างเท้าเข้าสู่โมงยามใหม่ๆ แต่เรื่องนี้ผมอยากจะบอกเล่าถึง "พลังของการสั่งสม" ครับ


สำหรับบางคนที่หยิบไพ่แห่งความโชคดีติดมือขึ้นมาได้ (ซึ่งอาจจะมีอยู่น้อยคนบนโลกนี้) อาจจะไม่ต้องใช้ความวิริยะอุตสาหะ หรือความคิดเฉลียวฉลาด และการลงมือทำสั่งสมในทุกๆ เข็มวินาทีชีวิตที่เคลื่อนไหวก็อาจจะร่ำรวย มีชื่อเสียง ค้นพบและบรรลุความฝันของตัวเองได้


เรื่องมาถึงตรงที่มีใครสักคนเล่าให้ฟังว่า ญาติของตัวเองเป็นคนมัธยัสถ์มาก เวลาเปิดน้ำเขาจะเปิดทีละหยดแล้วปล่อยทิ้งไว้ทั้งคืน การทำอย่างนี้ทำให้น้ำเต็มตุ่มเต็มโอ่งได้เหมือนกันโดยที่มิเตอร์น้ำของการประปาไม่กระดิกเลยว่ามีการใช้น้ำเกิดขึ้นในบ้านนั้น


เช่นเดียวกันหากเราไม่เคยเปิดก๊อกน้ำ ไม่เคยสำรวจว่ามีน้ำหยดออกมาจากภายในตัวเองเหมือนในท่อน้ำ แล้วเปิดไขก๊อกน้ำเอาไว้แต่เพียงเบามือ ไม่ช้าไม่นานหยดน้ำที่เราไม่เคยให้ความสำคัญหรือมองข้าม เพราะมัวแต่คิดถึงน้ำก๊อกที่ไหลพุ่งทะลักแรงเพราะแรงดันที่จะช่วยให้น้ำเต็มตุ่มได้ภายในพริบตา


หยดน้ำทีละหยดที่เปิดค้างไว้ทั้งคืน แต่ค่อยๆ หยดค่อยๆ มาโดยใครๆ ก็ไม่เคยตระหนักรู้หรือแม้แต่เราเอง ว่าน้ำในตุ่มในตัวเราค่อยๆ ขยับเติมเต็มขึ้นมาตนใกล้ขอบตุ่มแห่งความสำเร็จได้เหมือนกัน

วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ความสุขจากคนเลี้ยงผึ้ง

เป็นค่ำคืนของวันธรรมดาอีกค่ำคืนหนึ่งที่ผมได้รับสาระและความรู้สึกดีๆ จากการดูรายการโทรทัศน์...


ผมว่าคนทุกคนบนโลกนี้ที่เป็นเจ้าของเครื่องรับโทรทัศน์ และชอบใช้เวลาว่างในเวลาที่ไม่รู้จะทำอะไร กดรีโมททีวีไปเรื่อยๆ เหมือนกันกับผม


แต่แล้วค่ำคืนนั้นผมก็ไปหยุดดูรายการ "มาร์ธา" ซึ่งเป็นรายการวาไรตี้โชว์โดยมาร์ธา สต๊วท (Martha Stewart) นักจัดรายการชื่อดังด้านไลฟ์สไตล์และการตกแต่งบ้านของสหรัฐฯ รายการในวันนั้นเป็นเรื่องของคนเลี้ยงผึ้งในสวนหลังบ้านของพวกเขาเอง (Backyard Beekeeping)





ผมเองไม่ได้ติดตามรายละเอียดอะไรมากมายในรายการนั้น แต่ที่รู้สึกสะดุดใจก็คือเรื่องเกี่ยวกับการเลี้ยงผึ้งเพื่อเอาน้ำผึ้งและผลผลิตอื่นๆ จากรังผึ้งออกมาบริโภคกันของคนอเมริกัน ซึ่งทำกันอย่างเป็นล่ำเป็นสันและครบวงจร ตั้งแต่เลี้ยงผึ้งและเก็บเกี่ยวผลผลิต (ซึ่งก็คือน้ำผึ้ง) บรรจุขวดวางจำหน่ายในท้องตลาดในฐานะที่เป็น "น้ำผึ้งออร์แกนิก" พวกเขายังนำน้ำผึ้งที่เก็บได้ในบริเวณบ้านมาแปรรูปเป็นขนม อาหารและเครื่องดื่มหลายชนิดให้ชมในรายการ




ความสนุกและความสุขของคนเลี้ยงผึ้งในรายการมาร์ธาที่ได้ชม ไม่แตกต่างจากความสุขของคนปลูกผักหญ้าเอาไว้รับประทานเอง หรือคนที่ทอผ้าย้อมผ้า เย็บปักถักร้อยเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มเอาไว้ใช้เอง เป็นความสุขเล็กๆ ที่ไร้ขอบเขตข้อจำกัด ไม่ต้องสิ้นเปลืองเงินจับจ่าย ได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ และค้นพบว่าในเรื่องบางเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้หรือดูเหมือนจะยุ่งยากนั้น หากตั้งใจจริงและไม่คิดถึงข้อจำกัดปลีกย่อยแล้วคนเราก็สามารถพึ่งพาตัวเองได้ เช่นผู้ชายคนหนึ่งที่สามารถมีแหล่งเลี้ยงผึ้งหลายๆ แห่งแม้อยู่กลางกรุงนิวยอร์กอันแสนจะพลุกพล่าน


และที่สำคัญก็คือแม้ว่าจะโดนผึ้งที่ตัวเองเลี้ยงเอาไว้มุดลอดเข้ามาในชุดป้องกันที่แน่นหนาตอนที่ไปเก็บน้ำผึ้งต่อยเอาบ้าง แต่พวกเขาก็ยังยิ้มได้ ไม่โกรธเคืองหรือเจ็บปวดอะไรนักหนากับพิษสงเล็กๆ ของเหล็กไนของผึ้งที่ตัวเองเลี้ยง


...เพราะมันคือความสุขและการแบ่งปันที่ได้รับ
http://www.marthastewart.com/266296/backyard-beekeeping

วันอังคารที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2554

บทเรียนจากปลาหางนกยูง

     ที่บ้านฉันมีสัตว์นานาชนิดอาศัยอยู่ร่วมกันมากมาย ทุกตัวล้วนเดินทางมาอยู่ด้วยตัวเอง ไม่มีใครเคยถามความสมัครใจของฉันเลยว่าต้องการเลี้ยงพวกมันหรือไม่

      สัตว์เลี้ยงประจำบ้านคือ แมว ผู้ครอบครองพื้นที่ทุกตารางนิ้วของบ้านไว้หมดแล้ว เพียงแต่ว่าแมวยังไม่มีโฉนดเป็นของตัวเองเท่านั้นเอง แมวทุกตัวล้วนเดินเท้ามาทางภาคพื้นดินและทางหลังคา เมื่อมาถึงประตูบ้านแล้วแมวก็ล้มตัวลงนอนขวางทางเข้าออก แล้วเดินไปมาแถวนั้นไม่ยอมย้ายหนีไปที่ไหนอีกต่อไป นั่นหมายความว่าพวกแมวได้ตกลงปลงใจแล้วว่าจะอยู่ที่นี่ ให้ฉันเป็นผู้หาอาหารมาเลี้ยงดูนับแต่วันนั้นเป็นต้นไป...ทุกสิ้นเดือนฉันต้องเตรียมเงินไว้ซื้ออาหารเม็ดและทรายแมว..เพื่อพวกมัน

      ฉันยังมีหมาจรจัดที่แอบเข้ามานอนในบ้านอยู่หลายตัวโดยเฉพาะเวลาฝนตกหนัก พวกหมามักไม่มีที่หลบฝน แต่ละตัวจะมายืนออหน้าบ้าน ทำตัวเหมือนเล่นมิวสิควิดิโอ คือปล่อยให้หู หาง เนื้อตัวเปียกฝนชุ่มโชกโดยไม่ยอมขยับหนีไปไหน ทำหน้าตาเศร้าสร้อยราวนางเอกอกหักรักคุด รอจนกว่าฉันจะใจอ่อนเปิดประตูให้พวกมันเข้ามาหลบในบ้าน พวกมันจะดีใจมาก กรูเข้ามาอย่างรวดเร็ว และแยกย้ายหลบตามซอกมุมลานหน้าบ้านเท่าที่พอจะซุกหลบได้ พอฝนซาทุกตัวก็จะรู้หน้าที่ รีบลุกขึ้นอออกจากบ้านไปแต่โดยดี แต่สุดท้ายก็มีอยู่ตัวหนึ่งที่ไม่ยอมออกจากบ้าน ไม่ว่าฉันจะใช้สันติวิธีพูดดีๆ จนกระทั่งเอาน้ำสาด ไม้กวาดไล่  แต่มันก็ไม่ยอมออกจากบ้านไปเสียที น้องหมาดำกลับล้มตัวลงนอนยอมตายเสียดีกว่าที่จะออกจากบ้านนี้ไป ในที่สุดฉันก็ได้หมาขี้เรื้อนสีดำหนึ่งตัวมาอยู่ในบ้าน และแน่นอนทุกสิ้นเดือนนอกจากอาหารแมว ทรายแมว ฉันต้องซื้อโครงไก่ ตับ และอาหารหมาเสริมเข้าไปอีกด้วย

     เวรกรรมไม่หมดสิ้น หลายปีก่อน มีนกแก้วบินหลงทางมาจากไหนไม่ทราบได้ มันบินมาเกาะใกล้ๆ ขณะฉันที่กำลังตากผ้าริมระเบียง สร้างความตื่นตะลึงให้ฉันเป็นอย่างมาก ฉันร้องทักเล่นๆ ว่า "แก้ว แก้วจ๋า" ดั่งนรกชังสวรรค์แกล้ง นกแก้วเอียงคอมองฉันอย่างสนใจ และเดินเตาะแตะตรงมาหาฉันทันที แล้วบ้านเราก็มีนกแก้วเป็นของตัวเอง ทุกเช้านกแก้วตัวแสบจะต้องแหกปากร้องดัง แกรก แกรก ดังลั่นราวนาฬิกาปลุกไปถึงปากซอย สร้างความรำคาญให้เพื่อนบ้านยิ่งนัก ในที่สุดเราก็ตัดสินใจนำไอ้แก้วปล่อยออกจากกรง ฉันบอกมันด้วยเสียงอ่อนโยนว่า "บินไปเลยแก้ว ไปให้ไกลที่สุดนะ" นกแก้วบินไปไม่ถึงสี่เมตร แล้วยูเทิร์นกลับ เกาะที่พื้นแล้วเดินเข้าไปอยู่ในกรงด้วยตัวเอง เป็นเรื่องที่ฉันไม่เข้าใจจนถึงวันนี้ว่าทำไมนกแก้วถึงไม่หนีไป ทำไมต้องมาอยู่กับฉัน...แน่เสียยิ่งกว่าแน่..นับจากนั้น ฉันต้องซื้อ อาหารแมว ทรายแมว อาหารหมา โครงไก่ ตับ และเมล็ดทานตะวันสำหรับนกแก้วด้วย

      หลังบ้านฉันยังมีครอบครัวนกเขาที่จะมาขอข้าวกินเช้าเย็น แรก ๆ ฉันนึกเอาเองว่านกเขาเป็นสัตว์ที่ไม่ฉลาด แต่ผิดคาด เพราะนกเขานั้นจำหน้าฉันได้แม่นยำราวกับญาตินก เมื่อฉันออกไปชมวิวครั้งใด แก๊งนกเขาสามช่า จะบินจากอีกฝั่งคลองมาเกาะริมรั้ว แล้วเดินไปที่จานว่างเปล่าที่ฉันชอบเอาข้าวสุกที่เหลือไปวางให้นกกิน นกเขาผงกหัวไปมามองฉันราวกับว่า "ไปเอาข้าวมาให้กินหน่อยสิจ๊ะ นี่หน้าที่เธอไม่ใช่หรือ"  ฉันไปตักข้าวสุกมาวางไว้บนจาน ครอบครัวนกเขาก้มลงจิกข้าวกินอย่างมีความสุข และจะบินกลับมาเพื่อมองหาฉันและขอข้าวกินอีกครั้งตอนเย็น

     หน้าที่รับใช้สรรพสัตว์ของฉัน ยังไม่จบสิ้นลง เมื่อวันหนึ่งมีผู้หวังดีนำปลาหางนกยูงมาใส่ในอ่างหน้าบ้านไว้สองตัวเพื่อช่วยกินยุง  หลังจากนั้นไม่นาน ในอ่างน้ำก็มีปลาหางนกยูงนับร้อยตัว ซึ่งไม่จำเป็นต้องตรวจดีเอ็นเอก็มั่นใจได้ว่าพวกมันทั้งอ่างเป็นญาติกันหมด ในอ่างไม่มีลูกยุงหลงเหลือให้มันกินอีกต่อไป นับแต่นั้นฉันจะต้องไปซื้ออาหารปลามาฝากมันด้วย
    
     ดังนั้นทุกสิ้นเดือน ฉันต้องซื้ออาหารแมว ทรายแมว อาหารหมา โครงไก่ ตับ เมล็ดทานตะวัน และอาหารปลา เป็นภารกิจที่เกิดขึ้นโดยไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว

     การเลี้ยงสารพัดสัตว์ของฉันกลายเป็นหน้าที่ของความเคยชิน  ทุกเช้าฝูงแมวจะตื่นกันตั้งแต่หกโมงเช้า และช่วยกันร้องเรียกฉันราวนาฬิกาปลุกที่ไม่เคยถ่านหมด เมื่อฉันไม่ตื่น จะมีแมวตัวที่กล้าหาญมาถึงที่นอน และใช้มือตบหน้าเบา ๆ หากฉันพยายามคว่ำหน้า แมวก็จะสอดมือล้วงเข้าไปตบหน้าต่อไปไม่หยุดยั้ง ทางที่ดีก็คือรีบตื่นขึ้นมาให้อาหารแมวโดยด่วน การร้องขออาหารของแมวได้รับการตอบสนองอย่างรวดเร็ว เพื่อตัดความรำคาญ

   เมื่อฉันลงมาชั้นล่างของบ้าน เสียงแกรก ๆ ของนกแก้วนั้นแหลมคมทะลวงโสตประสาทได้ดียิ่งนัก ทำให้ฉันต้องรีบวิ่งไปตักเมล็ดทานตะวันใส่ในกรงนกแก้วอย่างรวดเร็ว นกแก้วได้อาหารเป็นอันดับที่สอง

  น้องหมาดำที่นอนใกล้ ๆ มองฉันด้วยสายตาเศร้าสร้อย มันไม่เคยร้องขออาหารใด ๆ เหมือนแมวและนก มันจึงได้กินอาหารช้ากว่าใครๆ และบางทีฉันก็ลืมให้อาหารมันจนไปถึงตอนเที่ยง หมาน้อยไม่เคยบ่น แต่ระยะหลังน้องหมาดำใช้วิธีเดินไปมาและพยายามพันแข้งพันขา ให้ฉันสำนึกได้ด้วยตัวเองว่าควรนำอาหารมาให้มันได้แล้ว  น้องหมาดำได้อาหารเป็นอันดับที่สาม

  สัตว์ที่น่าสงสารที่สุดคือปลาหางนกยูง ฉันมักจะลืมให้อาหารปลาหางนกยูงเกือบทุกวัน บางทีลืมเป็นอาทิตย์ เนื่องจากปลาหางนกยูงไม่เคยร้องขอหรือส่งเสียงใด ๆ ยามฉันเดินผ่านอ่างปลาหางนกยูง พวกมันทำได้แค่ว่ายมามุงกันที่ริมอ่าง ซึ่งถ้าฉันไม่สังเกตก็จะไม่มีวันเห็น ทุกวันปลาหางนกยูงไม่เคยได้อาหาร พวกมันว่ายวนไปมาด้วความหิวโหย

    ฉันค้นพบว่าบางครั้งเราต้องเสียโอกาสในชีวิตมากมาย จากการเก็บงำความต้องการของตัวเอง ดูได้จากแมวและนกแก้วที่เรียกร้องสิทธิของตัวเองอย่างเต็มที่ และได้รับการตอบสนองทันที น้องหมาดำเรียกร้องเล็กน้อยก็ได้เป็นอันดับสาม และปลาหางนกยูงจะได้รับเป็นอันดับท้ายเสมอหรือไม่ได้รับอะไรเลย เพราะไม่ได้แสดงออกและเรียกร้องสิ่งที่ต้องการ

     เราคงไม่อยากเป็นปลาหางนกยูง ที่ได้แต่ว่ายวนไปมา โดยไม่มีจุดหมาย ไม่เคยแสดงเจตจำนงว่าต้องการสิ่งใด สุดท้ายก็ไม่มีใครรู้ว่าเราต้องการสิ่งใด กว่าจะได้สิ่งที่ต้องการก็มักจะได้เป็นคนสุดท้ายเสมอ หรืออาจไม่เคยได้สิ่งที่หวังเลยก็ได้

    อยากได้ อยากมี อยากเป็น สิ่งใด ฉันจะไม่เก็บไว้ในใจอีกแล้ว.. เราควรเรียกร้องสิ่งที่เราควรได้และลงมือทำทันที
   ฉันจะร้องเสียงดังให้เหมือนแมว..แผดเสียงทำลายประสาทให้เหมือนนกแก้ว..เดินไปมาพันแข้งขาไม่หยุดให้เหมือนน้องหมา..แต่ฉันจะไม่มีวันว่ายวนไปมาโดยไม่รู้ชะตากรรมเหมือนปลาหางนกยูง

Paokuntima 
9 สิงหาคม 2554

วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ดอกไม้ของสังคม

ไม่ใช่แปลงหรือสวนดอกไม้ที่ผมเพิ่งผ่านไปและได้เห็นความสวยงามเบ่งบานของดอกไม้หลายช่อนานาพันธุ์ ทว่าคือริมถนน กลางฟุตบาทแถวๆ สามย่านนี่เอง


วันนี้เป็นอีกวันของการพระราชทานปริญญาบัตรให้กับบัณฑิตและมหาบัณฑิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยซึ่งดำเนินมาเป็นวันที่สองแล้ว ผมเห็นคนใส่ชุดครุยเดินถือช่อดอกไม้ มีช่างภาพและญาติมิตรเดินตามกันเป็นสายหลายคน พอดีผมทำงานอยู่ย่านนี้แล้วบังเอิญเดินผ่านร้านรวงแผงขายช่อดอกไม้และของที่ระลึกมอบให้บัณฑิตมากกมายในตอนออกไปกินข้าวกลางวัน


ไม่อยากจะเชื่อว่าผมจะเพิกเฉยหรือไม่ค่อยรู้สึกรู้สาอะไรกับบรรยากาศที่เห็น แต่ก็ไม่น่าแปลกใจนักเพราะผมเดินออกจากรั้วมหา'ลัยมาได้กว่าทศวรรษแล้ว การเรียนจบเฉลิมฉลอง มอบของที่ระลึกและมวลดอกไม้ที่จัดสรรสวยงามให้แก่กัน จึงเป็นเหมือนอากาศธาตุที่ผมเดินเฉียดกรายไปเท่านั้น


แต่แล้วเมื่อเห็นดอกไม้มากๆ เข้าก็อดที่จะรู้สึกหรือนึกคิดตามไปไม่ได้ว่าเพราะเหตุใดหรือเพราะอะไร และตั้งแต่เมื่อไรกันที่ธรรมเนียมการมอบดอกไม้ให้แก่ผู้จบการศึกษาจึงเป็นที่นิยมและแพร่หลายโดยไม่เลือกสถาบัน สถานและกาลเวลา


ดอกไม้ที่เบ่งบานให้สีสันที่สวยงาม สดชื่น สบายตา นั้นเหมาะสมด้วยประการทั้งปวงในความหมายถึงความเบิกบานยินดีและเป็นดอกผลของความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นสำเร็จการศึกษาหรือโอกาสอันเป็นมงคลอื่นใดของคนเรา ดอกไม้ก็มักจะถูกนำมาใช้ในโอกาสที่ดีที่พิเศษด้วยกันทั้งนั้น


แต่แท้จริงแล้วในระบบการศึกษาโดยเฉพาะอุดมศึกษานั้น การที่ใครสักคนจะเดินเข้าไปในรั้วมหา' ลัยแล้วเดินออกมาได้พร้อมกับปริญญาบัตร อาจจะไม่ใช่ความสำเร็จที่งดงามหรือการมีความหมายถึง "ความรู้" ที่ได้ประสิทธิประสาทลงในตัวบุคคลนั้นจนได้ชื่อว่าเป็นบัณฑิตที่ถึงพร้อมและเป็นเหมือน "ดอกไม้" ที่งดงาม ให้สีสัน รูปทรง คุณค่าทางความรู้สึก ทางใจ ทางการกระทำและผลงาน เป็นดอกไม้ของสังคมได้ทั้งหมดทุกๆ คน


ความสำเร็จที่แท้จริงของการเป็น "ดอกไม้ของสังคม" ในความหมายที่แท้จริง น่าจะอยู่ที่คุณค่า และการลงมือ ได้ให้อะไรแก่สังคมจากการเรียนรู้ที่ผ่านมา เป็นการผลิบานงดงามของความรู้เพื่อฟื้นฟูและช่วยเหลือผู้คนอื่นๆ ที่ด้อยโอกาสหรือขาดโอกาสมากกว่าเรา 


ดังนี้แล้วบัณฑิตที่พ้นจากมหา'ลัยออกมาจึงจะไม่ใช่แค่เพียงจำนวนที่มากหลายเหมือนช่อดอกไม้ ซึ่งจะกลายเป็นกองขยะเศษสิ่งที่ทิ้งขว้างเมื่องานพิธีผ่านพ้นไปเช่นช่อดอกไม้ของบัณฑิตทั้งหลายในวันพิเศษนี้เท่านั้น

วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เราสร้างประเทศขึ้นจากสงคราม

ประมาณสองสัปดาห์ที่แล้วผมได้ตามหลานสาวไปเที่ยวบ้านเพื่อนของเธอทางจังหวัดใหญ่แห่งหนึ่งของภาคตะวันออก ก่อนออกเดินทางเรารู้ดีอยู่แล้วว่าพ่อของเพื่อนหลานสาว ซึ่งเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในจังหวัดนั้นกำลังลงสมัคร ส.ส. ในการเลือกตั้งครั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น ทำให้ตัวลูกสาวจะต้องคร่ำเคร่ง อดตาหลับขับตานอน เอาใจช่วยพ่อเต็มที่เพื่อชิงชัยในสนามเลือกตั้งเป็นครั้งแรก หลังจากที่เป็นนักการเมืองท้องถิ่นในระดับ ส.จ. มานานนับสิบๆ ปี


แม้จะเป็นการไปเที่ยวเพื่อเยี่ยมเยียนสอบถามสารทุกข์สุกดิบและได้ไปเที่ยวบ้านของเพื่อนหลานสาวคนนี้เป็นครั้งแรก แต่เจ้าภาพก็ต้อนรับขับสู้อย่างเต็มที่ อุตส่าห์แบ่งเวลาของการช่วยบุพการีหาเสียงและบริหารจัดการต่างๆ มาร่วมวงข้าว (และวงน้ำเมาในยามดึกดื่น) ช่วยจัดหาที่หลับที่นอนที่สะดวกสบายให้กับผู้ที่ไปเยือน สร้างความประทับใจให้กับพวกเราที่เดินทางคณะเดียวกันทุกคน


เราไม่ปฏิเสธว่าอดที่จะมีใจโอนเอียงและอยากเอาใจช่วยสนับสนุนให้พ่อของเธอได้ชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ และพลอยได้รับรู้รับเห็นกระบวนการ "หาเสียง" ที่กำลังเกิดขึ้นและที่เป็นอยู่เป็นไปอย่างช่วยไม่ได้


คืนวันหนึ่งเมื่อปลดปล่อยปล่อยวางจากภาระของการเป็นผู้ประสานหลักให้กับพ่อที่ศูนย์ประสานงานเลือกตั้งของพรรค (ซึ่งก็คือตัวบ้านของเธอในอำเภอ) เราตั้งวงพูดคุยสอบถามถึงการเลือกตั้ง ตอนแรกตั้งใจว่าจะถามเรื่องทั่วๆ ไป แต่แล้วก็พลอยได้รับรู้ถึงบรรยากาศของการแข่งขันระหว่างผู้สมัครต่างพรรค ไปจนกระทั่งถึงกลไกในการหาเสียง การใช้เงินในการติดตั้งป้ายหาเสียง การจ้างรถออกไปวิ่งป่าวประกาศ ราคาค่าพิมพ์ใบปลิวและใบโฆษณาต่างๆ การจ่ายเงินให้กับคนไปเดินแจกใบปลิวแต่ละวันๆ ซึ่งพอๆ หรือแพงกว่าค่าแรงขั้นต่ำ แม้จะรู้ว่ามีเงินอุดหนุนมาจากทางพรรค และมีการกำหนดการใช้เงินเอาไว้จากคณะกรรมการการเลือกตั้งก็ตาม แต่เจ้าตัวที่เกี่ยวข้องเองตรงๆ ก็ยังยอมรับว่าที่กำหนดเอาไว้ว่าไม่ให้ผู้ลงสมัครเลือกตั้งใช้เงินหาเสียงในทุกกิจกรรมและกระบวนการต่างๆ ไม่เกินคนละ 1.5 ล้านบาทนั้น มองยังไงก็ไม่น่าจะพอ


อันนี้ยังไม่รวมถึง เงินที่แต่ละฝ่ายใช้ในการแจกจ่ายให้กับหัวคะแนนเพื่อไปแบ่งปันและแจกจ่ายต่อ เพื่อให้เชื่อมั่นได้ว่าจะมีคะแนนเป็นต่ออีกฝ่ายหนึ่งในวันลงคะแนนอย่างแน่นอน ซึ่งแม้แต่เด็กอมมือก็ยังไม่เชื่อว่า การเลือกตั้งแต่ละครั้งจะไม่มีการจ่ายเงินซื้อสิทธิขายเสียง เพียงแต่จับได้ไม่มั่นคั้นไม่ตาย ไม่โดนใบเหลืองใบแดงก็ต้องปล่อยๆ ให้เกิดขึ้นต่อไป


บรรยากาศและความเป็นจริงของการเลือกตั้ง ส.ส. ในระบบสภาบ้านเราที่เกิดขึ้น จึงไม่ต่างจาก "สมรภูมิ" "ศึกสงคราม" และการยื้อแย่งแข่งขัน แข่งกันมากๆ ใช้เงินมากๆ โยนขี้โยนบาปให้กับอีกฝ่ายหนึ่งราวกับชาตินี้เกิดมาเป็นศัตรูกัน แต่แล้วพอได้รับเลือกตั้งเข้าไปเป็น ส.ส. แล้วก็ไปปรองดองประสานประโยชน์กันใหม่ หาทาง "ถอนทุน" ที่ลงไปจากการเลือกตั้งเข้าพกเข้าห่อและเครือข่ายเพื่อนพ้องของตัวเองกันต่อไป ดุจ "วงจรอุบาทว์" ที่มีคนเปรียบเทียบเปรียบเปรยการเมืองของไทยเอาไว้


ในวงสนทนากลางค่ำกลางคืนอันเงียบสงบของรีสอร์ตแห่งหนึ่งทางภาคตะวันออกที่ผมนั่งร่วมวงอยู่ด้วย มีพวกเราที่อายุอานามสามสิบกว่าๆ อย่างไรเสียก็ไม่เกินสี่สิบต้นๆ บังเอิญว่าในวงมีเด็กผู้หญิงซึ่งเป็นหลานสาวของเพื่อนหลานผมอีกทีในวัย 10 - 11 ปี นั่งอดตาหลับขับตานอน ตากน้ำค้างหาวหวอดๆ นั่งฟังบรรดาน้าๆ ป้าๆ ลุงๆ พูดคุยกันถึงเรื่องการบ้านการเมืองอยู่ด้วย


เรามาถึงบทสรุปกันที่ว่า บรรยากาศการเลือกตั้งที่ต่อสู้แข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ทั้งการใช้เงินมากมายและการสร้างความแบ่งแยกแตกต่างอย่างกับสงครามเช่นนี้ ไม่น่าจะเป็นที่มาของการจัดการบ้านเมืองของเราให้เป็นไปในทิศทางที่ถูกต้องเหมาะสมและสงบน่าอยู่ได้ เพราะเราจะเชื่อมั่น "สันติภาพ" และ "สันติสุข" ที่เกิดจากน้ำมือและน้ำเงินของบรรดาโจรหรือผู้กระหายสงครามที่กำลังอาสาเข้าไปเป็นตัวแทนประชาชนในระบบรัฐสภาได้อย่างไร


แต่จริงๆ แล้วควรจะมีหนทางของการเรียนรู้และเข้าถึงประชาธิปไตยหรือระบบตัวแทน เพื่อให้การเมืองของบ้านเราดำเนินไปได้ดีและดูมีความหวังกว่าที่เป็นอยู่ เรื่องระบบการศึกษาและการปลูกฝังแนวคิดการมีส่วนร่วมทางการเมืองให้กับเด็กๆ ในวัยเรียนก็น่าจะเป็นคำตอบหนึ่ง


ในค่ำคืนนั้นลมพัดแรง แต่ไร้แสงดาว ในหัวใจของผมและทุกคนในวงนั้นรู้ดีว่าเราไม่อาจหวังได้กับความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นแม้จะเป็นการเลือกตั้งครั้งนี้หรือครั้งต่อๆ ไปข้างหน้า แต่เราก็ยังอดที่จะหวังไม่ได้ว่าจะมีสักคืนที่ฟ้ามืดๆ ของการเมืองไทยจะผลิแสงดาวแห่งความหวัง...

วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ตลาดสนุก

จอแจ เบียดเสียด และเปียกชื้น...


หากให้ใครก็ตามนึกถึงภาพของ "ตลาดสด" ในความคิดขึ้นมาตอนนี้แล้วล่ะก็ คงจะหนีไม่พ้นคำต่างๆ ที่ผมว่ามาเป็นแน่ ซ้ำร้ายอาจจะมีคำอื่นๆ ที่ชวนให้น่าเบื่อ ไม่น่าเดิน ไม่น่านึกถึงอื่นๆ อีกเพียบ


แต่สำหรับผมเอง ผมรู้สึกว่า คำว่า "ตลาดสด" ช่างเป็นคำที่มีเสน่ห์คำหนึ่งและมีเอกลักษณ์ เป็นคำคำหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่าใครเป็นคนแรกที่บัญญัติคำคำนี้ขึ้นมา เพื่อเรียกขานแหล่งสถานสำหรับการพบปะแลกเปลี่ยนสินค้าโดยเฉพาะเป็นอาหารสด ผักปลา ผลไม้เป็นคนแรก แต่ก็ช่างให้ภาพและความรู้สึกชัดเจนดีเมื่อมีคำว่า "ตลาด" และคำว่า "สด" อยู่รวมกัน


ไม่ผิดนักหากจะพูดว่าหนึ่งในเอกลักษณ์ของอารมณ์ความรู้สึก ที่สะท้อนถึงวิถีความเป็นอยู่แบบไทยๆ ของคนไทยได้ดีก็คือตลาดสดนั่นเอง ไม่เชื่อคงจะต้องลองหาโอกาสไปเดินเล่นที่ตลาดแถวบ้านดู เน้นว่าขอให้เป็นตลาดสดหรือตลาดเช้าจะคึกคัก สนุกสนานมากกว่า


เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมมีอันจะต้องถือถุงผ้าเดินตามคนที่บ้านไปตลาดสดแถวบ้านอันแสนจะคึกคักด้วยข้าวของและผักปลานานาชนิด เพราะต้องเตรียมตัวซื้ออาหารมาต้อนรับเพื่อนฝูงที่จะมากินข้าวที่บ้าน เช้าวันนั้นเป็นวันเสาร์ที่ผมเองอยากจะตื่นนอนสายกว่าปกติสักนิด เมื่ออิดออดนอนต่อไปไม่ได้ ก็ต้องตื่นเตรียมตัวสลัดความง่วงงัวเงียออกจากตัวเพื่อออกไปตลาดสด


ไม่น่าเชื่อว่าไม่กี่ก้าวที่ย่างเท้าเข้าสู่บรรยากาศตลาดสด ความรู้สึกข้างในผมก็ถูกสั่นกระเพื่อมไหวให้ตื่นขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งภาพ ทั้งเสียง ทั้งกลิ่นของบรรยากาศที่ได้เห็นจู่โจมเข้าปลุกทุกสรรพความรู้สึกโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้


สิ่งต่างๆ อันเป็นตัวกระตุ้นชั้นดีของตลาดสดคือ แผงผักหลากชนิดหลากสี แผงขายเนื้อสัตว์ทั้งไก่ ปลา ปลาร้าหมัก (ส่งกลิ่นมาด้วย) เหลือบสายตาลงต่ำ ก็มีกะละมังแม่ค้าที่ใส่กบและอึ่งอ่างขังไว้รอคนมาซื้อ ถัดไปจากนั้นคือถาดใส่แมลงกินได้หลายชนิดวางไว้เป็นกองๆ มินับรวมลีลาการเลือกซื้อเลือกหา เจรจาต่อรองของบรรดาแม่ค้าและลูกค้านับสิบนับร้อย


ฉับพลันที่ผมเหม่อๆ มองดูสิ่งต่างๆ ขณะเดินอยู่ เท้าก็พลันไปเหยียบเอาแผ่นปูนปูพื้นที่ไม่เรียบและมีน้ำขังอยู่ จนกระฉอกขึ้นมาเปรอะเลอะเท้าผม ตอกย้ำความเลอะเทอะเฉอะชื้นที่เป็นอยู่จริงๆ ของตลาดสดที่ชัดเจนติดเนื้อติดตัว


เดินต่ออีกไม่กี่ก้าว ก็เห็นพระรูปหนึ่งยืนรอคนมาบิณฑบาตรอยู่ตรงหัวมุมตลาด จำได้ว่าเช้าๆ เช่นนี้มาตลาดนี้ทีไร เป็นต้องเจอพระคนนี้ ซึ่งดูไม่เหมือนพระสงฆ์จริงเอาเสียเลย พระที่ไหนจะมาหากินเกาะติดกับตลาดสดและยืนรอคนให้เอาของมาให้เช่นนี้เป็นประจำ


เมื่อซื้อข้าวของต่างๆ ที่ต้องการได้แล้ว ผมแวะแผงผลไม้เพื่อซื้อทุเรียนลูกหนึ่ง ป้าที่เป็นแม่ค้าบวกเลขบอกราคาของทุเรียนลูกที่เราเลือกอย่างรวดเร็วและแม่นยำจนเราต้องออกปากว่าทำไมป้าคิดเลขได้เร็วจัง แม้จะเป็นตัวเลขที่บวกลบคูณหารไม่ลงตัว แต่แม่ค้าส่วนมากมีความสามารถและพรสวรรค์ในการคิดเลขบวกเลขจากการคำนวณน้ำหนักและบอกราคาได้เร็วจริงๆ อาจเพราะประสบการณ์สั่งสมและการอยู่กับการคิดเลขบอกราคาเป็นประจำ


เช้าวันนั้นหลังการเดินตลาดและหอบข้าวของมากมีที่ซื้อหากลับมาได้ ผมเลิกง่วงงัวเงียแล้ว เพราะประสาทถูกปลุกให้ตื่นแทบทุกอณูความรู้สึกภายนอกภายใน ตลาดสดช่างมีความสนุกและเปี่ยมด้วยภาพชีวิตที่แสนจะคึกคักจนยากจะเปรียบได้ว่าความสนุกง่ายๆ ไม่ต้องซื้อต้องหา แต่สามารถชวนให้เรารู้สึก "สด" และ "สนุก" ได้เช่นนี้จะหาได้จากที่ไหนอื่นอีกๆ 


เพราะในความสดมีความสนุก และในความสนุกมีอยู่ที่ตลาดสดครับ