วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ปุ๋ยของจิตใจ

มิใช่แค่ต้นไม้หรอกนะครับที่เหี่ยวแห้งขาดสารอาหารและร่ำร้องผ่านสีเหลืองซีดโรยราทางใบว่า "ขาดปุ๋ย" แต่เราๆ ท่านๆ ที่เป็นคนก็มีสักวันหรือสักโอกาสที่รู้สึกว่า ตอนนี้เราเองกำลังเหี่ยวเฉา ล้าและอ่อนแรง ด้วยขาดสารอาหารทางจิตใจ


ขอเพียงเรามีสติที่จะคอยสังเกตสังกาความรู้สึกและความเป็นไปของตัวเองให้ดี ว่าตอนไหนบ้างที่เรา "ไม่สนุก" กับชีวิตรอบๆ ตัวที่กำลังเคลื่อนไหว และรู้สึกเหมือนแบตเตอรี่ในร่างกายกำลังจะหมด ทุกอย่างดูน่าเบื่อ เหนื่อยหน่ายและช้าลงๆ ทุกขณะ ตอนนั้นน่าจะเป็นสัญญาณที่ดีที่เราจะบอกกับตัวเองว่าถึงเวลาที่จะซ่อมบำรุงส่วนที่สึกหรอทางจิตใจโดยด่วน


แต่ส่วนมากแล้ว เวลาที่คนเรากำลังเบื่อหน่ายกับชีวิต สติปัญญาและกำลังใจกลับเป็นสิ่งที่ขาดหายไปก่อน ซ้ำยังเรียกหาอย่างไรก็เหมือนกู่ไม่กลับและไม่หลงเหลืออยู่ บ่อยครั้งคนเราจึงขาดสติและปล่อยตัวเองเลื่อนลอยไปกับโมงยามที่น่าเบื่อทีละเล็กทีละน้อย จนในที่สุดก็คล้ายจมอยู่ในบ่วงหรือห่วงของความทุกข์ทน โลกไม่น่าอยู่ ผู้คนไม่น่ารัก  การงานไม่น่าทำ ชีวิตไม่สนุก กระทั่งถึงขนาดว่าไม่น่าจะมีลมหายใจอยู่ต่อไป


แท้จริงแล้วจริงหรือที่โลกเลวร้าย ผู้คนที่เราแคร์และรักไม่สนใจหรือไม่ได้ดังใจ แม้แต่คนอื่นที่เราปฏิสัมพันธ์ด้วยจะสามารถกระทำย่ำยีเราอย่างประสงค์ร้าย จนพลอยให้ใจแห้งเหี่ยวราวกับต้นไม้ขาดปุ๋ย ความจริงน่าจะเป็นที่ "ตัวเรา" กับความคาดหวัง ความเข้าใจและความไม่พอใจใน "ความสุข" ที่มีอยู่ ที่ไม่พอดีกันมากกว่า


เมื่อเราหมั่นรดน้ำพรวนดิน บำรุงด้วยปุ๋ย หยิบแมลงศัตรูพืชและหนอนออกจากต้นไม้ดอกไม้ในสวนที่บ้านทิ้งออกไป ด้วยหวังว่าต้นไม้ทั้งหลายจะผลิดอกออกใบเป็นความสวยงามร่มรื่นให้ชื่นชมได้ แล้วทำไมเราจะไม่เหลียวแลความรู้สึกและหมั่นขัดเกลา รดน้ำพรวนดิน ใส่ปุ๋ยบำรุงให้ร่างกายและจิตใจเราเข้มแข็ง หัวใจของเราก็จะได้ไม่แห้งเหี่ยวเฉา ต่อให้สรรพสิ่งจะไม่เคลื่อนไหวไปในทิศทางตามที่ใจเราต้องการหรืออยากจะให้เป็นไปตลอดเวลา เพราะสิ่งต่างๆ นั้นย่อมอยู่เหนือการควบคุมของตัวเรา แม้กระทั่งความสุขความทุกข์ในตัวเราเองก็ยากที่จะกำหนดได้เอง


เติมความสุขทีละเม็ดทีละเกล็ดลงในชีวิตเหมือนเราค่อยๆ หย่อนปุ๋ยลงในเนื้อดินของจิตใจและอย่าปล่อยให้ผืนดินของใจเราแห้งผาก

วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

where we belong to


ภาพประกอบน่ารักวาดโดยโมโมโกะ
เมื่อวานนี้ฉันได้เฉียดเข้าไปสำรวจชีวิตของคนอยู่หอ เพราะไปช่วยเดินหาหอพักให้หลานจากอุบลฯ ที่สอบติดจุฬาฯ
จากที่เคยคิดว่าคอนโดฯ สมัยนี้ช่างเล็กน่าอึดอัดเสียนี่กระไร พอได้เห็นหอพักก็พบว่าห้องในหอพักเล็กยิ่งกว่า ค่าเช่าถูกที่สุดคือเดือนละ 3,700 บาท แต่สภาพห้องทั้งหลอนและไม่ปลอดภัย
ฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่าซอกซอยย่านราชเทวีและพญาไทจะมีหอพักยุ่บยั่บขนาดนี้ จำนวนประชากรในย่านนั้นหนาแน่นมาก หอพักมากมายตั้งเรียงรายชิดติดกัน แต่ก็ยังไม่มีห้องว่างให้หลานและเพื่อนเช่าอยู่ ความจริงห้องว่างพอมีบ้างซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะสภาพของมันก็สมควรแล้วที่จะว่างต่อไป
ในห้องที่เล็กแคบของหอพัก บางห้องมีคนอยู่ถึง 4-5 คน อยู่กันเป็นครอบครัวทั้งผู้ใหญ่ เด็ก และคนแก่ 
           
คนกรุงเทพฯ อย่างฉันไม่เคยพลัดถิ่นไปใช้ชีวิตยาวๆ ในจังหวัดอื่นมาก่อน ก็เลยไม่เคยลิ้มรสการอยู่หอ ตอนเรียนมัธยมเคยคิดอยากเป็นนักเรียนประจำตามประสาวัยรุ่นติดเพื่อน พอเรียนมหาวิทยาลัยก็อยากเป็นเด็กหอกับเค้าบ้าง เพราะนอกจากไม่ต้องเดินทางไปกลับแล้ว ยังได้นอนคุยกับเพื่อนร่วมห้องด้วย คิดแล้วน่าสนุก
            เวลาล่วงเลยผ่านไป แม้จะยังไม่มีโอกาสอยู่หอ แต่ก็ได้เปลี่ยนที่พักชั่วคราวยามเดินทางท่องเที่ยว บางครั้งดวงขึ้นได้นอนโรงแรมสุดหรู มีอ่างจากุชชี่ มีแกรนด์เปียโนในห้อง บางคราวดวงตกโคจรไปเจอห้องผีสิง นอนๆ อยู่มีเสียงเคาะหลังคานานเป็นชั่วโมง และบ่อยครั้งได้พบเจอที่พักน่ารักน่าประทับใจ
ไม่ว่าห้องนอนชั่วคราวจะเก๋หรูอยู่สบายแค่ไหน ทุกครั้งที่ได้กลับมาล้มตัวลงนอนบนเตียงที่บ้าน ร่างกายและจิตใจดูเหมือนจะได้พักจริงๆ ถึงปลอกหมอนบางใบจะซักจนขึ้นขุย แต่เราสามารถนอนแผ่หลาได้อย่างสนิทใจ
ฉันคิดว่าช่างโชคดีที่ได้กลับบ้าน

แข้งขาเมื่อยขบตามวัยหลังกลับจากการสำรวจหอพักเมื่อวานนี้ หมอนยวบๆ ใบเก่ารองรับหัวสมองอันหนักอึ้ง ผ้าปูที่นอนผืนใหม่เนียนนุ่มนอนสบาย 
เปลือกตาค่อยๆ ปิดลง พร้อมกับบอกตัวเองว่าช่างโชคดีที่มีบ้านให้กลับ


ตายจากกันทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่

     เมื่อเดือนก่อนแมวที่ฉันรักที่สุดได้หายตัวออกจากบ้านไป จนถึงวันนี้ไม่มีวี่แววว่าจะกลับมาแต่อย่างใด ยุทธการพลิกแผ่นดินตามหาแมวนั้นฉันไม่เคยน้อยหน้าใคร การจากพรากจากสิ่งที่รักเป็นทุกข็ใจแสนสาหัส แม้ทุกคนจะจำประโยคนี้ขึ้นใจ แต่จะมีใครสักกี่คนที่ห้ามใจไม่ให้รักสิ่งใดได้...

     เพื่อนพ้องชาวโซเชียล เน็ตเวิร์คที่คบหากันทางอากาศ ส่งคำปลอบประโลมมาถึงฉันกันมากมาย เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกว่าในโลกไซเบอร์ที่คนชอบพูดว่าเป็นความสัมพันธ์อันว่างเปล่านั้น แท้จริงแล้วเราจับต้องได้จริงเช่นกัน คนที่เราไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร และอยู่แห่งหนไหนบนโลกใบนี้ แต่ตัวหนังสือที่พิมพ์ถึงกัน สามารถสื่อสาร ปลอบใจ และให้กำลังใจกันได้เช่นเดียวกับเพื่อนที่เราคบหาบนโลกแห่งความจริง

   ถึงวันนี้แมวฉันยังไม่กลับมา บางคนบอกว่า ให้คิดว่าแมวอาจไปเที่ยวเล่น สักวันจะกลับมาแน่นอน บางคนก็บอกว่าแมวอาจไปอยู่บ้านใหม่ หรือเจอคนใจดีอุปการะไว้ บางคนบอกว่าแมวกลับบ้านถูกแน่นอน วันไหนเขาอยากกลับมาเขาจะกลับมาเอง เราหาใช่เจ้าของชีวิตแมว ที่จะกำหนดให้แมวอยู่กับเราหรือไม่อยู่กับเรา

  ฉันอ่อนล้าต่อการรอคอยการกลับมาของแมว..อยากคิดว่าแมวตายไปแล้ว จะได้ไม่ต้องรออย่างมีความหวังอีกต่อไป เมื่อพยายามคิดเช่นนั้น ฉันกลับระทมทุกข์หนัก คิดไปต่างๆนานาว่าใครทำให้แมวต้องตาย ฉันจึงเปลี่ยนความคิดใหม่ว่าวันหนึ่งแมวจะต้องกลับมา ทำให้ฉันคึกคักขึ้นอีกครั้ง แต่แล้วฉันก็ทุกข็ไม่แพ้กัน เพราะฉันเฝ้ามองไปที่ประตูและหน้าต่างที่แมวเคยมาเรียกทุกคืน ยังความร้าวรานใจไม่จบสิ้น เป็นการรอคอยอย่างมีความหวังที่ไร้หวัง...

 ระหว่างความทุกข์ที่ว่า แมวตายไปแล้ว กลับการรอคอยอย่างมีหวังและผิดหวังทุกวันที่แมวไม่กลับมา อย่างไหนจะดีกว่ากัน

     เพื่อนฉันคนหนึ่งโทรมาหาเพื่อบอกว่า เธอกำลังจะหย่า  ฉันฟังทุกเรื่องอย่างสงบแล้วถามเธอว่า
  "เธอยังรักเขาอยู่ไหม" เธอเงียบไป แล้วตอบว่า
  " ก็ยังรัก แต่ถ้าหย่าแล้ว ฉันกับเขาจะตัดขาดกันให้เด็ดขาด ชั่วชีวิตนี้ฉันกับเขาจะไม่มีวันมาเจอหน้ากันอีกต่อไป คิดเสียว่าเราตายจากกันไปแล้ว"    เธอสรุปได้อย่างเหงาใจเป็นที่สุด
    "เป็นการตายจากกันทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ เธอรู้ไหมการตายจากแบบนี้ทรมานที่สุดในชีวิต" ฉันหวนคิดถึงแมวตัวเอง
    "ขณะใจหนึ่งคิดว่าตายจาก แต่ใจหนึ่งจะกระซิบบอกว่าเขายังอยู่เสมอ แล้วเธอจะทุกข์ใจไม่สิ้นสุด จนกว่าเธอจะหยุดรักเขาได้" ฉันให้คำปรึกษา

  หลายคนมักคิดว่า "ความตาย" จะช่วยหยุดทุกสิ่ง ซึ่งไม่ใช่ความจริงทั้งหมด  ฉันเชื่อว่า ความตายไม่สามารถหยุดความรักได้  ความตายแข็งแรงกว่าชีวิตก็จริงอยู่ แต่ความรักนั้นแข็งแกร่งกว่าความตาย
           ความรักจะอยู่เช่นนั้นเป็นนิรันดร์ และความตายก็ไม่อาจหยุดความรักได้เลย
         
         เพื่อนฉันยังไม่ได้หย่า.และหวังอย่างเลือนลางว่าเขาจะกลับมารักเธอเหมือนเดิม และฉันก็ยังตื่นขึ้นมาทุกเช้าอย่างมีความหวังทุกวันเพื่อรอการกลับมาของแมว..และผิดหวังทุกคืนเมื่อแมวไม่กลับมา..

           เราต่างหาความรักที่หายไปของเราไม่เจอ..เป็นการตายจากกันทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่จริงๆ
        
Paokuntima
27/ 05/2011

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

สายฝนและแสงไฟ

สองวันก่อนที่กรุงเทพฯ ฝนตกกระหน่ำยามใกล้ค่ำ พาให้ไฟฟ้าดับไปโดยไม่มีสาเหตุ และยังดับเป็นเวลานานนับชั่วโมงอย่างไม่รู้ว่าเมื่อไรไฟจะมา


เมื่อแสงสว่างจากไฟฟ้าหายไป ความมืดความเงียบก็เข้ามาแทนที่ ยังโชคดีว่าอากาศตอนฝนตกกระหน่ำนั้นไม่ร้อนอบอ้าวสักเท่าไร เพราะเราหมดหนทางที่จะใช้ไฟฟ้าเปิดพัดลมให้ใบพัดหมุนได้


เมื่อไม่มีไฟฟ้ามาเอื้อความสะดวกให้เหมือนในยามปกติที่เราสามารถเปิดปุ้บติดปั้บ ซ้ำยังดับไปเป็นชั่วโมง ความมืดก็ย่างกรายเข้ามาแทนแสงตะวันอันริบหรี่ที่ค่อยๆ จากไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ต้องนึกหาว่าวางเทียนไข ไม้ขีดไฟและพัดใบลานที่ซื้อมาจากคนชราที่มานั่งขายตามตลาดเอาไว้ตรงไหน จะได้หยิบเอามาใช้ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้


กรุงเทพฯ เมืองใหญ่ที่แสงไฟเคยครอบคลุมทุกพื้นที่ตารางนิ้วและสร้างความสะดวกสบายให้ทุกชีวิต จนเราแทบจะนึกไม่ถึงว่าจะมียามเช่นนี้ที่ฟ้าฝนกระหน่ำ สิ่งต่างๆ เช่น ไฟฟ้าดับก็อาจเกิดขึ้นได้ และเมื่อถึงเวลาเช่นนี้ หลายๆ สิ่งที่เราเคยคิดว่าหมดประโยชน์ พ้นจากยุคสมัยแห่งความสะดวกสบายจากไฟฟ้า เช่น เทียนไข ไม้ขีดไฟและพัด ก็กลายเป็นสิ่งของที่จำเป็นและมีประโยชน์ต่อชีวิตอย่างไม่น่าเชื่อ


เมื่อไฟฟ้าไม่ยอมมาสักทีก็เลยจะต้องตัดสินใจคลำทางด้วยแสงเทียนลงไปเพื่อหุงหาอาหารกินในครัว ยังโชคดีว่าความสะดวกสบายอย่างหนึ่งคือเตาแก๊สยังคงใช้การได้อยู่ หลังจากต้มน้ำทำน้ำแกง อุ่นและปรุงอาหารด้วยเตาแก๊ส เราเลยนึกขึ้นมาได้ว่าบรรดาชาวคอนโดระฟ้าจะใช้ชีวิตกันอย่างไร เมื่อไฟฟ้าดับ เพราะไม่มีลิฟต์และยังใช้เตาแก๊สไม่ได้เหมือนครัวเรือนปกติอีก


ความสว่างไสวที่จรจากไปอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยและทิ้งเราไปโดยไม่มีวี่แววว่าเมื่อไรจะกลับมา ทำให้เรื่องราวหนหลังเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก ที่ไฟฟ้ามักจะดับและดับไปนานๆ เช่นนี้ทุกทีเมื่อฝนตกหนัก ได้หวนกลับมาสู่บทสนทนาอีกครั้ง ไม่น่าเชื่อว่าแค่ไม่มีแสงสว่างจากหลอดไฟและไฟฟ้า ความมืดที่รายล้อมเราไว้นอกรัศมีของแสงเทียนจะกลายเป็นเหมือนผืนผ้าและกระดานสำหรับความทรงจำและความหลังได้กระโดดออกมาโลดแล่นจากส่วนลึกของความทรงจำที่เก็บเอาไว้


แม้ข้างนอกฝนจะตกหนักและปราศจากแสงสว่างอันรุ่งโรจน์ไปทุกตารางนิ้วจากไฟฟ้าเช่นเคย ชีวิตกลับเรียบง่ายขึ้น มีความสุขตามอัตภาพและไม่ต้องการอะไรมากมาย แค่เพียงเตาแก๊สทำความร้อน แสงเทียนให้ความสว่างไม่กี่จุด ความเย็นที่โบกพัดจากแรงกระพือของมือเราเองก็เย็นใจและอบอุ่นใจได้...ก่อนที่ไฟฟ้าจะหวนกลับมาจุดความสว่างและขับไล่ความทรงจำเก่าๆ ให้กลับเข้าไปสู่ที่ทางเดิมของมัน

วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เก่งไม่กลัว

คุณกระโดดได้สูงหรือเปล่า มีเสียงร้องที่ไพเราะ ตัวอ่อนตัวงอได้มากเป็นพิเศษ หรือว่าพอได้ยินเสียงดนตรีที่มีจังหวะก็สามารถขยับแข้งขยับขาได้สวยงามเข้าจังหวะอย่างน่าดูชม...

เมื่อวานเย็น ผมนั่งดูรายการ Thailand's Got Talent รอบสุดท้ายของผู้เข้าแข่งขัน 12 คนโดยที่ไม่ได้เชียร์ใครเป็นพิเศษ เรียกว่าดูเอาสนุกเอามันล้วนๆ แต่ขณะเดียวกันก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงคำว่า "ความสามารถพิเศษ" หรือ "พรสวรรค์" หรือ Talent ที่รายการนี้นำมาตั้งชื่อด้วยว่า จริงหรือไม่ที่คนเราทุกๆ คนมีความสามารถพิเศษ มีพรสวรรค์ที่ไม่ต้องเสาะแสวง หรือว่าจำเป็นเพียงใดที่เราจะต้องค้นหา ค้นพบ ฝึกลับพรสวรรค์ในตัวตนเราให้คมขึ้นเก่งขึ้น เพื่อที่วันหนึ่งจะได้นำสิ่งนั้นมาแสดงออกให้ผู้คนประจักษ์บนเวที

อย่างที่ผมว่าน่ะแหละครับว่า พรสวรรค์อาจเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ติดตัวเรามาแต่เกิด ทุกๆ คนมีอยู่ เพียงแต่ไม่รู้ตัวเองว่ามี หรือว่าพรสวรรค์เป็นเพียงคำเรียกขานแทนสิ่งที่คนเราจะเก่งกล้าสามารถขึ้นมาได้ เพราะ "รู้จัก" และ "ค้นพบ" ไม่ปฏิเสธในตัวตนที่มีอยู่ แล้วกล้าที่จะหยิบยกสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ลึกๆ ในตัวเราขึ้นมาขัดเกลาทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งสิ่งธรรมดาในสายตาคนอื่นนั้น สามารถฉายแสงออกมาโดดเด่น

เวทีประกวดความสามารถหรือ Talent จากรายการนี้ ไม่ได้จำกัดจำเพาะว่าคุณจะต้องเป็นนักจำอวด เล่นมายากลเก่ง แต่งเพลงเป็นหรือร้องเพลงได้ กล้าบุกน้ำลุยไฟ เต้นระบำในจังหวะและลีลาต่างๆ นานา หรือร้องเพลงประกอบท่าโยคะ เป็นคนปกติธรรมดาหรือร่างกายพิกลพิการ แต่อย่างน้อยก็ทำให้เราได้เห็น "การเข้าถึง" และ "ตีความ" ความหมายของคำว่าพรสวรรค์จากผู้คนเรือนหมื่นเรือนแสนทั่วเมืองไทยที่ให้ความสนใจเข้าร่วมแข่งขันกันอย่างคึกคัก จนกระทั่งผ่านการคัดเลือกของผู้ชมจากการลงคะแนนโหวตทางโทรศัพท์เหลือเพียง 12 ผู้เข้าแข่งขันแค่นั้น

เราอาจจะดูรายการนี้ด้วยความสนุกจากความบันเทิงในจังหวะลีลาของการแสดงก็จริง แต่ผมเชื่อว่าแม้ทุกๆ คนบนเวทีแห่งนี้จะเก่งหรือมีความสามารถติดตัวมาซึ่งทำให้โดดเด่นหรือทำสิ่งนั้นได้ดีกว่าคนอื่นๆ ที่มีความสามารถอย่างเดียวกัน แต่ทุกๆ คนกว่าจะก้าวขึ้นมาเป็น "ที่หนึ่ง" ในจุดที่ตัวเองแสดงออกได้นั้น คงต้องผ่านการซ้อมอย่างหนัก จะต้องมีการฝึกฝนเพื่อทำให้ดี สวยงาม สนุกและลงตัวมากที่สุด ใช่เพียงเกิดมามีความสามารถแล้วไม่ทำอะไรเพื่อต่อเติมหรือฝึกฝนเพื่อไปสู่จุดที่ดีที่สุดและยิ่งใหญ่ที่สุดที่พรสวรรค์ในตัวเองจะก้าวไปได้

นานมาแล้วผมเคยอ่านบทความในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐโดยผู้เขียนที่ใช้นามปากกาว่า "แรม" (ซึ่งผมอาจจะจำผิด) เขา (หรือเธอ) ตั้งชื่อบทความไว้ว่า "อย่าเอาแสงสว่างไปซ่อนไว้ใต้หิน" ซึ่งบอกเล่าทำนองว่า คนเราทุกคนมีแสงสว่างหรือความสามารถในตัวเองทุกคน เปรียบเสมือนแสงจันทร์ที่สุกสว่าง หรือมีข้อดีในตัวด้วยกันทุกคน ขอเพียงเรามีความเชื่อมั่น ยอมรับในตัวเอง และไม่ลังเลที่จะหาหนทางที่จะปล่อยแสงออกมาก็จะประสบความสำเร็จ แต่หากเราขลาดกลัวแล้วเก็บความสามารถหรือแสงในตัวเองไปซุกไว้ใต้ก้อนหินเสียแล้ว ก็คงไม่มีใครมองเห็น

การเกิดมาเก่งหรือเกิดมาพร้อมพรสวรรค์น่ะไม่น่ากลัว แต่ที่น่ากลัวคือคนเก่งแต่ไม่ฝึกฝน ทะนงตนเพราะคิดเอาเองว่าตัวเองดีแล้ว เก่งแล้ว เหนือกว่าคนอื่นแล้ว

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

อย่าสิ้นศรัทธา

การเมืองบ้านเรากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่ออีกครั้ง จากการเลือกตั้งทั่วไปปี 2554 ที่กำลังจะเกิดขึ้น ตอนนี้ตามท้องถนนหนทางเมืองไทยเต็มไปด้วยป้ายโฆษณาหาเสียงของพรรคและนักการเมืองต่างๆ พร้อมกับคำสัญญิงสัญญาตามนโยบายหาเสียง


สภาพและบรรยากาศเช่นนี้ไม่ได้ช่วยให้หัวใจของคนไทยหลายๆ คนกระตือรือร้นหรือให้ความสนใจต่อความเป็นไปของการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นมากไปกว่าความรู้สึกชินชา ว่าการเลือกตั้งก็เกิดขึ้นหนแล้วหนเล่าเหมือนที่ดำเนินมาและดำเนินไปในนครสารขัณฑ์แห่งนี้ ด้วยว่าเราต่างเกือบสูญสิ้น "ศรัทธา" ไปกับระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆ และพฤติกรรมของนักการเมืองที่บิดพลิ้ว เล่นพรรคเลือกพ้องของตัวเองมากกว่าประเทศชาติหนแล้วหนเล่า


คำว่า "ศรัทธา" แม้ว่าจะเป็นคำนามธรรมที่ยากจะหยิบยกขึ้นมาให้ได้เห็นเด่นชัด แต่ก็เป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อระบบความเชื่อ ต่อการใช้ชีวิต ให้ดำเนินไปอย่างมีแก่นสารในทุกๆ ด้าน เรียกว่าขอเพียงชีวิตเรายังมีศรัทธา ถ้าชีวิตประกอบด้วยศรัทธา ก็ย่อมไม่ยากเย็นที่ทำให้คนเราใช้ชีวิตในทุกๆ ด้านได้อย่างมีพลังและงดงาม


ศรัทธาในที่นี้ไม่ได้หมายถึงศรัทธาต่อระบบความเชื่อ การเมือง ลัทธิศาสนา หรืออื่นใด ไม่ได้หมายถึงศรัทธาในตัวบุคคลอื่นที่เราอยากจะยึดเหนี่ยว ไม่ได้หมายถึงศรัทธาต่อสิ่งต่างๆ ภายนอก เพื่อเราจะได้เลิกสนใจสิ่งที่อยู่ภายในความรู้สึกและจิตใจของตัวเอง แต่เป็น "ศรัทธา" ในการกระทำของเราเอง ศรัทธาในการมีชีวิตอยู่และเชื่อว่า ชีวิตของเราเกิดขึ้นและดำเนินไปอย่างมีเหตุผล เพื่อก่อให้เกิดความดีงามและงดงาม ทั้งต่อตนเองและสรรพสิ่งที่อยู่ร่วมในสังคม


ศรัทธาในภาษาอังกฤษเรียกว่า Faith  ดังมีคำที่ชอบพูดกันยามที่มีใครสิ้นหวังว่า "Keep The Faith" ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ อย่าทอดทิ้งศรัทธา...


ขอจงมีศรัทธาไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวของจิตใจ ไม่ว่าจะผ่านฤดูกาลแบบไหน จะเป็นฤดูที่พายุฝนแห่งอุปสรรคซัดกระหน่ำจิตใจจนซวนเซ หรือฤดูเลือกตั้งที่เกิดขึ้น ผ่านไป และทำให้เราเห็นธาตุแท้ของนักการเมือง ก็ขอให้ดำเนินชีวิตต่อไปโดยไม่ลืมประดับหัวใจของเราเอาไว้ด้วย "ศรัทธา"

วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ณ ที่ซึ่งความรักพำนักอยู่

เบื้องหลังช็อตที่ทีม my home ถ่ายหน้าปก
วันนี้บ้านเหลือง little sunshine ได้ขึ้นปกนิตยสาร my home ค่ะ อันที่จริงทางทีมงาน my home มาถ่ายรูปและพูดคุยกับพวกเราตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคมโน่นแล้ว ฮ่องเต้ (นักเขียน) บอกว่าจะวางแผงฉบับเดือนมิถุนายน เป็นวาระครบรอบ 1 ปีของนิตยสารพอดี
เคหาสน์ลาดพร้าวของเราเป็นตึกแถว 5 ชั้นครึ่ง อยู่มา 28 ปีแล้ว แต่ก่อนอยู่กันอุ่นหนาฝาคั่งแทบทุกชั้น เพราะพ่อ แม่ และพี่ชายสองคนยังพักอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน
ชั้นล่างสุดเคยเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋นและข้าวหน้าไก่ ขายได้ 10 กว่าปีก็เลิกกิจการ ไม่ใช่รวยแล้วเลิก แต่มีเหตุให้ต้องเลิก เพราะลูกมือจากแดนอีสานฮิตไปทำงานในโรงงาน (เมื่อราวสิบปีก่อน) พอหยุดตรุษจีนแล้ว ไม่มีใครยอมกลับมาทำงานอีก บวกกับลูกๆ โต มีงานทำกันหมด ร้านหมงโภชนาจึงต้องปิดตัวไปโดยปริยาย

ตึกแถวริมถนนตึกนี้ พ่อและแม่ของฉันซื้อหามาด้วยน้ำพักน้ำแรง ทำงานหนักช่วยกันเก็บหอมรอมริบ ค่อยๆ ผ่อน ถ้ามีเงินก้อนใหญ่ก็โปะแบงค์ไป นานหลายปีกว่าจะหมด ถ้าเทียบราคาปัจจุบันกับเกือบ 30 ปีที่แล้ว เงินล้านกว่าที่พ่อแม่เคยซื้อตึก 5 ชั้นครึ่งนี้ ปัจจุบันสามารถซื้อห้องในคอนโดฯ ได้เพียงห้องเดียวเท่านั้น
ค่าของเงินอาจน้อยลง
แต่ค่าของคำว่า "บ้าน" มีแต่เพิ่มขึ้น

ออกไปทำงาน  แม้จะเหนื่อยเครียดราวกับอยู่ในสมรภูมิรบแค่ไหน อย่างน้อยที่สุดเรายังมีบ้านให้กลับไปพัก  
มีฝักบัวให้เราเปิดรดหัวแรงๆ ชำระความสาหัสของชีวิตวันนี้ออกไป
มีเตียงที่รอเราทิ้งตัวลงนอน เพื่อจะตื่นพร้อมออกรบใหม่ในวันพรุ่ง
  
            คำฝรั่งบอกว่า home is where the heart is
บ้านอาจประกอบด้วยข้าวของเครื่องใช้และของแต่งบ้านสวยเก๋มากมาย แต่บ้านก็คือบ้าน ไม่ใช่โชว์รูม บ้านจึงสกปรกได้ เลอะเทอะได้ อยู่ได้ จับต้องได้
ฝาผนังอาจเลอะด้วยลายเส้นยุ่งๆ ของลูกสาว เมื่อแม่หนูน้อยอยากได้กระดาษแผ่นที่ใหญ่กว่าสมุดวาดเขียน
ขาเก้าอี้ไม้ตัวโปรดยับเยินแหว่งวิ่นจากรอยแทะของลูกหมาลาบราดอร์วัย 5 เดือน
ห้องครัวกับกลิ่นอบอวลมากมาย ทั้งกะปิ ปลาเค็ม และรอยน้ำมันกระเด็นที่เช็ดไม่ออก
ตู้โชว์ที่มีตุ๊กตาตัวแรกที่พ่อซื้อให้ ปะปนกับตุ๊กตาตัวแรกที่แฟนซื้อให้ มันอัดๆ กันอยู่กับข้าวของอื่นไม่ค่อยเป็นระเบียบนัก ฝุ่นจับบ้าง แต่เราไม่เคยคิดโยนทิ้ง
ในวันที่โลกไม่เป็นของเรา พื้นห้องน้ำที่เย็นสบายก็กลายเป็นมุมให้เราทรุดตัวลงนั่งร้องไห้  
  
ว่ากันว่าบ้านที่ไม่มีคนอยู่จะโทรมเร็วจนน่าแปลกใจ ฉันว่าน่าจะเป็นเพราะนอกจากจะไม่มีการปัดกวาดเช็ดถูแล้ว บ้านที่ไร้ผู้อยู่อาศัย แน่นอนว่ามันย่อมขาด ชีวิต อันประกอบไปด้วยเสียงหัวเราะ เสียงพูดคุย เสียงทุ่มเถียง เสียงตะโกน เสียงทอดถอนหายใจ เสียงร้องไห้ และเสียงปลอบโยน
เหล่านี้ล้วนคือสำนียงของความรัก
และความรักเท่านั้นคือสถานที่ที่หัวใจเราพำนักอยู่

วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ศุกร์สำราญ

ไม่น่าจะมีวันใดที่ชีวีของคนเราจะเริงรื่นได้เทียมเท่าวันศุกร์ วันศุกร์ซึ่งการทำงาน การใช้ชีวิต การรบรากับปัญหาและภารกิจทั้งหลายทั้งปวงเดินทางมาถึงวันสุดท้ายของวันธรรมดา และจะได้หยุดพักลงแม้สักชั่วระยะเวลาไม่กี่วันของวันหยุดที่กำลังมาถึง


ทั่วไปแล้วคนทำงานมักจะเป็นฝ่ายที่จดจ่อรอคอย และผูกพันกับวันศุกร์โดยปริยาย การมีวันศุกร์หมายถึงยามค่ำคืนที่สามารถนอนพักยาวๆ ได้โดยไม่ต้องรีบสะดุ้งตื่น พาชีวิตออกไปโลดแล่นสู้รบกับโลกภายนอกเหมือนวันธรรมดาวันอื่นๆ อาจจะหมายถึงวันแห่งการเฉลิมฉลองเล็กๆ กับการกินดื่มพูดคุยและใช้เวลากับเพื่อนสนิทมิตรสหายได้โดยไม่ต้องพะวงกับวันพรุ่งนี้ที่จะมาถึง อาจหมายถึงวันแห่งการผ่อนคลายด้วยกิจกรรมและงานอดิเรกมากมายที่วางลงไว้ตั้งแต่ต้นสัปดาห์เมื่อคืนวันอาทิตย์จรจากไป


วันศุกร์จึงเหมือนมีมนต์มายาพิเศษแตกต่างและมีเสน่ห์ไม่เหมือนวันธรรมดาอื่นๆ ทำให้เรายิ้มหัวได้แม้จะรู้ดีว่าการงานหรือภาระทุกอย่างยังไม่หมดไป หรือรอคอยเพื่อจะหวนกลับมาให้รบรากันใหม่อีกรอบ แต่ขอแค่สักวันที่เราจะเอนหลังหลับตาหรือเดินเล่นสบายๆ ในยามบ่ายหลังเลิกงานโดยบอกตัวเองว่า การมีวันศุกร์ช่างดีจริง และขอใช้ช่วงเวลาอันสำราญสักเล็กน้อยนี้บ้างจะได้ไหม


คงเป็นการยากที่เราจะปลดปล่อยตัวเองให้หลุดพ้นจากพันธนาการมากมายที่ร้อยรัดในชีวิตที่ดึงเราเอาไว้กับความเจ็บปวด ความเมื่อยล้า ความเบื่อหน่าย ความคาดหวัง ไม่ได้ดังใจต่างๆ นานา ชีวิตตลอดวันธรรมดา 5 วันเหมือนเชื้อเพลิงอันร้อนระอุปะทุขึ้นในเช้าวันจันทร์ เพื่อดั้นด้นและพาตัวเองไต่เพดานสูงขึ้นไปบนฟากฟ้าจนทะลุองศา ด้วยการใช้พละกำลังไปราวกับจะมอดไหม้ไปถึงความรู้สึกภายใน


การมีวันศุกร์จึงอาจจะหมายถึงสัญลักษณ์ของการใช้ชีวิตที่บอกว่าชีวิตมีหนักมีเบา มีหย่อนมีผ่อนคลาย ในขณะที่ต้องหอบตัวเองให้เหินลอยไปด้วยแรงปะทุของชีวิต ก็ขอให้เราได้รู้จักเหลียวแลปุยเมฆ ให้ได้เห็นขอบฟ้าและฟากฟ้ากว้าง ได้หายใจหายคอกับความปลอดโปร่งโล่งใจบนจุดที่พาตัวเองขึ้นไปสูงที่สุดสักช่วงเวลาหนึ่ง


บนการเดินทางอันแสนไกลและน่าเบื่อหน่ายของวงรอบการใช้ชีวิต ขอสักหนึ่งวันที่จะเป็นเหมือนป้ายหยุดพัก เติมน้ำมัน หย่อนนั่ง ปล่อยวาง เป็นช่วงเวลาแห่งความสำราญอันเรียบง่ายที่ไม่ต้องการอะไร เพียงแค่รอคอยการเดินทางรอบหนึ่งของสัปดาห์มาบรรจบก็แค่นั้น

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ระฆังแห่งสติ

   แต่ละวันเราได้ยินเสียงอะไรมากมาย..แต่จะมีสักกี่เสียงที่ได้ฟังอย่างแท้จริง
   แม้ฉันจะฝึกฝนการ "มีสติ" อยู่บ้าง แต่ยอมรับว่าทำได้ไม่เกินห้านาที และน่าจะเรียกว่าเป็นคน "ไร้สติ" ตลอดเวลาก็ว่าได้ ตั้งแต่ลืมตาขึ้นมา จิตใจฉันก็เริ่มว้าวุ่นตั้งแต่วินาทีแรก สมองเริ่มคิดถึงเรื่องเมื่อวาน กังวลไปถึงวันพรุ่งนี้ ย้อนไปคิดถึงหนังที่ดูเมืื่อคืน ผ้าที่ยังไม่ได้ซัก อาหารค่ำที่กินกับเพื่อนเมื่อวาน งานที่คั่งค้าง เส้นทางที่อยากขับรถไปเที่ยว และสารพัดเรื่องราวที่วิ่งพล่านในใจไม่หยุด
  น่าแปลกใจ ทำไมจิตใจของคนเราถึงว้าวุ่นครุ่นคิดเรื่องราวร้อยแปดพันเก้าไ้ด้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย


   หลายเดือนก่อน ขณะฟ้าเริ่มมืด ฉันออกไปยืนชมแสงอัสดงสุดท้ายของวันที่หลังบ้านอย่างมีความสุข แสงสีส้มอมเทาทาทาบบนขอบฟ้าไล่เฉดสีอย่างงดงาม ระหว่างสงบนิ่งอยู่กับความงามยามอาทิตย์ลับฟ้า ฉับพลันก็ได้ยินเสียงระฆังดังกังวานแว่วมาแต่ไกล เป็นเสียงระฆังโบสถ์อย่างแน่นอน ฉันเหลือบมองนาฬิกา และพบว่าเป็นเวลาหกโมงเย็น นี่คงไม่ใช่ครั้งแรกที่ระฆังดังกังวานในยามนี้ แต่คงดังกังวานมาแล้วเป็นเวลาหลายปี แต่ทำไมฉันไม่เคยได้ยินเสียงระฆังนี้แม้แต่ครั้งเดียว


  เสียงระฆังน่าจะมาจากวัดที่อยู่ใกล้ๆ บ้าน หากขับรถไปบนถนนหลักไม่น่าเกินสามกิโลเมตร แต่บนถนนอากาศตัดจากหลังคา้บ้านฉันมองตรงไปที่ยอดหลังคาวัด น่าจะไม่กี่ร้อยเมตร


  เสียงระฆังยามเย็นนั้นกังวาน เป็นเสียงเยือกเย็นเบิกบาน ที่เรียกสติที่จากฉันไปไกลแสนไกลกลับคืนสู่ปัจจุบนขณะได้อย่างรวดเร็ว หลังจากวันนั้น ฉันเริ่มได้ยินเสียงระฆัง ได้ยินเสียงนกนานาชนิดที่ร้องยามเช้า ได้ยินเสียงแผ่วเบาของกังสดาลยามพริ้วไหวกับสายลม บางคืนดึกสงัดฉ้ันยังได้ยินเสียงสายฝนจากที่ห่างไกล ที่ค่อยๆ ดังไล่มาจนถึงหลังคาบ้านตัวเอง


  ฉันเพิ่งเข้าใจในคำสอนของท่าน ติช นัท ฮันห์ กับการมีสติอยู่กับปัจจุบันขณะ 
  
  ยิ่ง "ฟัง" ก็ยิ่ง "เงียบ"
 
  เมื่อสติของเรากลับคืนมา โลกที่เคยอึกทึกครึกโครม กลับสงัดเงียบลงกว่าเดิม..ไม่เว้นแม้แต่ใจของเราเอง..

Paokuntima
19 / 05 / 2011

...สุขทุกสิ่ง

เมฆยามเย็นเหนือท้องฟ้านอกหน้าต่างแถวบ้าน
หกโมงเศษๆ...
เมื่อครู่นี้ฝนก็หว่านสายลงมา แค่เพียงเหลือบแลออกไปมองเม็ดฝนหล่นร่วงพรมลงบนต้นไม้ อากาศมืดมัวพาความหดหู่จู่โจมเข้าสู่หัวใจของใครต่อใคร
ณ วินาทีนี้ชีวิตยังคงพานพบกับความยุ่งยากมากมายนัก...

แม้ไม่ต้องต่อสู้ต่อกรกับปัญหาหนักอกหนักใจด้วยเรื่องราวปากท้อง ปัญหาความมั่นคงต่างๆ เฉกเช่นหลายๆ ชีวิตที่จะต้องคำนึง ครุ่นคิด ประสบและแบกรับก็จริง แต่ก็รู้สึกถึงความไม่สงบสุขภายใจจิตใจ ความว้าวุ่นและความคิดที่พากันวิ่งวนอยู่อย่างวุ่นวาย จนคล้ายกับว่าชีวิตทำอะไรได้ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน

ชีวิตแม้ไม่ต้องประสบกับภาวะที่ทุกข์ยากท้าทาย แต่ในบางทีบางครั้งก็ใช่ว่าจะดำเนินไปอย่างเรียบง่าย ง่ายดาย และบ่ายหน้าไปหาความสุขสงบ

การมีชีวิต แม้ไม่มีความทุกข์ แต่ก็ใช่ว่าจะสุขได้ง่ายดาย...

อาจเป็นเพราะภาระการงานที่บีบบังคับให้ต้องนั่งจ้องอยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นนานสองนาน แต่ก็คล้ายไม่มีความคืบหน้า การงานยังคงย่ำอยู่กับที่ ยังคงไม่มีอะไรใหม่ๆ ฉับพลันความเบื่อหน่ายหดหู่ก็ได้ที กระโจนเข้าเกาะกุมภายในที่ว้าวุ่นแม้มองไม่เห็น เหมือนเส้นด้ายกระจุกใหญ่ที่ยุ่งพันกันจนไม่อยากจะเป็นธุระคลี่คลาย

การงาน ความรับผิดชอบที่หมุนวน หลายๆ สิ่งที่หวนเข้ามาสู่ความคิดในคราวเดียวกัน ดุจเมฆฝนห่าใหญ่ที่ซัดสายลงบนผืนทุ่งโล่งกว้างๆ ในคราวเดียวกันอย่างรวดเร็ว จนสรรพสิ่งพลันมืดมิดมองอะไรไม่เห็น...มีแต่ความมืดมัว สลัวลางและหดหู่

เย็นวันนี้ ทุกสิ่งอาจจะไม่คลี่คลาย...นอกจากจะปล่อยวางและละวาง หยุดสายตาเพื่อมองออกไปหาสิ่งใหม่ๆ นอกบ้าน นอกห้องและนอกหน้าต่าง

ผมเตือนตัวเองให้คาดหวังน้อยลง ปล่อยวางกับภาวะที่ว้าวุ่น
เรียนรู้ที่จะทำทีละอย่าง...สู่ความสุขทุกสิ่ง

วันพุธที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เรือกระดาษ


เพียงแผ่นกระดาษบางจ้อยที่คำนึงถึงปลายทางที่มองไม่เห็น ตัดสินใจไหลล่องไปกับกระแสน้ำเชี่ยวโดยไม่กลัวเกรงต่อความเป็นไป ด้วยเชื่อในพลังของความฝันและจินตนาการ  พลิกผัน พลัดล่อง เลื่อยไหล ลอยไปในรูปของลำเรือ

กระดาษน้อยก่อร่างเป็นรูปลำ เรือกระดาษออกเดินทาง ผ่านระลอกแล้วระลอกเล่าของลำน้ำเล็กๆ


พลิกจม พลัดจ่อม ยอมจมในบางที  เปียกปอนแต่ก็เปลี่ยนผ่านเรื่อยไป เรียนรู้ แลกเปลี่ยน ล่องไหลไปกับสายน้ำในความไม่รู้ มุ่งหมายถึงปลายทางจะเติบใหญ่ ไกลใกล้ไม่ท้อ รอคอยและแล่นไปตามแต่แรงลมกับสายน้ำจะโยกไกว เรือกระดาษลำน้อยไม่หยุดรอ

แบกความหวังความเป็นไปทั้งหมดไว้บนกระดาษ...จะไหวไหม เรือกระดาษมีสิ่งใดให้คาดหวัง ปลายทางของเรือกระดาษอยู่หนใด

เป็นเพียงแผ่นกระดาษบางจ้อย พับรอย ก่อร่างเป็นลำเรือเล็กบาง บ้างสมหวัง บ้างรอคอย แล่นบ้าง จอดบ่อย ที่สุดก็อาจพลิกจม นิ่งลงไปเป็นหนึ่งเดียวกับเวิ้งน้ำกว้างใหญ่ กลับกลายมลายหาย ไม่หลงเหลือ

สมหวัง ไม่สมหวัง แบกรับความคาดหวัง...หรือเราเองที่คาดหวังกับเรือกระดาษในอนาคตอันเคว้งคว้าง

วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

...ผ่านเข้ามาสู่ชีวิต

อกหัก รักคุด ตุ๊ดเมิน...


อาการรวมๆ เช่นนี้ เรียกว่าอะไรดี ถ้าไม่ใช่การเสียศูนย์จากความสูญเสีย


ต่อให้มีอวัยวะครบสามสิบสอง เมื่อถึงคราวต้องพานพบเรื่องราวจากการพลัดพรากสูญเสีย เป็นใครก็ใครก็ต้องเกิดอาการไม่มั่นใจ หวั่นใจ กระทั่งสูญเสียใจอย่างใดอย่างหนึ่งไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้วยกันทั้งนั้น ขึ้นกับว่าเรารักอะไรและผูกพันยึดติดกับสิ่งนั้นมากน้อยเพียงใด เข้าทำนองว่ารักมาก ก็ทุกข์มากเจ็บปวดมาก


การเคยมีเคยเป็นหรือครอบครองข้าวของ คนรัก ความรู้สึกดี ความผูกพัน การเป็นเจ้าเข้าเจ้าของสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งครั้งหนึ่งอาจมีความหมาย มีคุณค่ามีราคาต่อความรู้สึกเราอย่างมาก จนไม่เคยนึกหรือไม่อยากจะนึกว่า หากวันหนึ่งของสิ่งนั้นไม่อยู่กับเราอีกต่อไปหรือเราไม่อาจครอบครองสิทธิ์ขาดความเป็นเจ้าของเอาไว้ได้ แล้วเราจะทนอยู่สู้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้อย่างไร


เมื่อสมบัติสิ่งของที่เคยครอบครองเกิดสูญหาย ความรู้สึกดีที่เคยได้รับอยู่ดีๆ เกิดแปรเปลี่ยน หมดไป ไม่เหมือนเดิม นอกจากความเสียใจและโหยหาอยากให้สิ่งนั้นหรือความรู้สึกนั้นกลับมาดังเดิมแม้จะรู้ว่าการรอคอยนั้นมีความหมายเท่ากับความหวังอันว่างเปล่าแล้ว เราควรเรียนรู้อะไรจากการพลัดพราก นอกเสียจากพุทธพจน์ที่ว่า "ความพลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นทุกข์" แค่นั้น


มองในอีกมุมหนึ่งจากความสูญเสียที่ผ่านเข้ามาได้หรือไม่ว่า ความรู้สึกดีๆ ความรัก ความผูกพัน การเป็นเจ้าของหรือสิ่งของที่เคยเป็นของเรา ครั้งหนึ่งก็เคยอยู่กับเรา เคยเป็นของเรา เป็นความทรงจำที่มีต่อกัน และความรู้สึกที่ดีที่งดงามซึ่งผ่านเข้ามาสู่ชีวิตของเรา ให้บทเรียนและการเรียนรู้ว่าโลกนี้แม้จะไม่มีอะไรที่แน่นอนและอยู่กับเราได้ยาวนานก็จริง แต่ครั้งหนึ่งได้เกิดขึ้นและผ่านเข้ามาสู่ชีวิต ครั้งหนึ่งเคยอยู่กับเรา เคยเป็นของเรา ครั้งหนึ่งเคยมีความรู้สึกดีๆ มอบไว้ให้แก่กัน...


แทนที่จะหมดหวังและสูญสิ้นเวลาไปกับการโหยหา เลิกคร่ำครวญกับการรอคอย แต่ยิ้มให้กับความรู้สึกดีๆ ที่หลงเหลือเป็นเค้ารอยอยู่ในจิตใจ เป็นความทรงจำดีๆ ของสิ่งที่ผ่านมาสู่ชีวิต เพื่อที่จะปลอบตัวเองเบาๆ เหมือนเวลาที่คนเขาชอบพูดกันว่า อกหักดีกว่ารักไม่เป็น ...



วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

หมายเหตุจากความเจ็บป่วย

แม้ไม่ได้ตั้งใจและกระทั่งไม่ได้ส่งใบลา ผมก็ห่างหน้าจากการเขียนเรื่องบนบล็อก "ตะลุมบอน" ประจำไปอย่างไม่จงใจถึงสองวัน


เป็นสองวันแห่งการล้มหมอนนอนเสื่อ หรือกล่าวให้เข้าใจง่ายๆ ก็คืออาการป่วยรับประทานนั่นเอง


เมื่อความเจ็บป่วยมาเยือนชีวิตแบบไม่ต้องเชื้อเชิญ ทำให้คนเราพลาดหรืออดที่จะใช้ชีวิตไปอย่างปกติธรรมดาอย่างที่ควรจะเป็นหลายเรื่องหลายราว แต่ก็จริงที่ว่าการเจ็บป่วยนั้นเป็นเหมือนเสียงระฆังทองที่ลั่นกังวานในตัวตนของเรา บอกให้ฟังเสียงร่างกายตัวเอง บอกว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องพักผ่อนให้เพียงพอ ถึงเวลาแล้วที่จะยอมรับความเจ็บป่วยนั้นว่าเป็นส่วนหนึ่งของเราเอง...


ผมเชื่อว่าทุกคนบนโลกนี้คงจะเคยไม่สบายกันทั้งนั้น ทั้งในระดับป่วยไข้ไอเจ็บคอ ปวดหัวน้ำมูกไหลเล็กๆ ไปจนกระทั่งระดับต้องถูกเข็นขึ้นเขียงเข้าห้องผ่าตัดให้หมอชำแหละส่วนที่ทำให้เรารู้สึกไม่สบายออกไป ซึ่งนอกจากเรื่องบุญทำกรรมแต่งแล้วว่าคนเราจะเจ็บป่วยกันกี่มากน้อยหรือในระดับใด ส่วนสำคัญย่อมอยู่ที่การดูแลรักษาและเข้าใจตัวเองอีกด้วย ว่าเราควรจะกินอยู่หรือทำตัวอย่างไรให้ห่างไกลความเจ็บป่วย


เมื่อไม่สบายในระดับหนึ่่ง ผมเชื่อว่าคนเราทุกคนย่อมจะต้องเคยเงี่ยหูฟังเสียงภายในหรือพูดคุยกับตัวเองกันทุกคน ทำนองว่า "นายเป็นอะไร" "ไม่สบายตรงไหน" "เจ็บตรงนี้ปวดตรงนี้มากไหม" "ไหวไหม" "จะต้องกินยาอะไร" และท้ายที่สุดก็คือถามตัวเองตรงๆ ว่า "เฮ้ย ไปหาหมอดีไหม (วะ)"


ผมเป็นคนหนึ่งที่ถามตัวเองอยู่บ่อยๆ เมื่อเราเจ็บป่วยระดับเป็นหวัดคัดจมูกน้ำมูกไหลไอเจ็บคอบ้าง ว่าตัวเองไหวไหม จะต้องนอนพัก เช็ดเนื้อเช็ดตัว กินน้ำมากๆ หรือหาหยูกยากินเอาเองไหม เพราะไม่อยากจะถามคำถามสุดท้ายที่ว่า "ไปหาหมอดีกว่า" ถึงแม้ว่าจะมีสิทธิประกันสังคมฟรีรองรับอยู่ก็เถอะ การเหยียบย่างพาตัวเองก้าวเข้าไปโรงพยาบาลมีความหมายและหมายเหตุหลายๆ สิ่งอย่างที่ส่วนลึกของจิตใจผมเอง บอกกับตัวเองว่าถ้าใจไหว กายสู้อยู่ก็อย่าเพิ่งไปโรงพยาบาลเลย


สำหรับผมการไปเข้าคิวรอรับการรักษาและวินิจฉัยโรคที่โรงพยาบาลนั้นเป็นเรื่องที่ทำให้ "เปื่อย" ซ้ำซากขึ้นจากอาการป่วยที่เป็นอยู่ นอกจากนี้เวลาโชคดีหรือโชคร้ายไม่รู้ ที่อุตส่าห์นั่งรอหมออย่างมีหวังว่าจะหายเมื่อได้เข้าไปพบ ก็กลับกลายเป็นนั่งรอหมอสองชั่วโมง เพียงเพื่อว่าเอาใบหน้าป่วยๆ โทรมๆ ของเราไปนั่งเล่าอาการให้หมอฟังแค่ไม่ถึงห้านาที โดยไร้สายตาแชเชือน ไร้การส่องกล้องแตะตรวจจุดต่างๆ หรือแตะต้องเนื้อตัวดูอาการอย่างเป็นห่วงเป็นใย...อย่าได้หวัง


สองวันก่อนเมื่อคะเนอาการที่ทรงๆ มาหลายวันแล้วเกรงว่าจะทรุด ผมก็ผละจากตารางกิจกรรมทุกอย่างของชีวิตปกติ ไปนั่งรอคิวตรวจรักษากับหมอที่โรงพยาบาลเจ้าประจำที่ผมมีสิทธิรักษาแถวๆ บ้าน ไม่รู้จะเรียกว่าโชคดีในความโชคร้ายดีไหมที่ช่วงนั้นเป็นวันหยุดยาว คนเลยมารักษากันบางตากว่าปกติ ผมนั่งรอไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ได้เรียกเข้าไปตรวจ


หนนี้หมอที่ตรวจอาการเป็นหญิงสาวตัวเล็กและยังดูไม่สูงวัยนัก แม้จะมีใบหน้าเรียบเฉยกึ่งเบื่อๆ แต่ก็ยังตั้งอกตั้งใจซักถามประวัติและอาการด้วยดี ทำให้ใจของคนป่วยชื้นขึ้นมาหน่อยหนึ่ง จากนั้นก็ถูกส่งตัวไปรักษาและรับยาหอบหนึ่งกลับมากินที่บ้านต่อ สิริรวมแล้วผมใช้เวลาที่โรงพยาบาลในยามบ่ายวันเสาร์ที่ควรจะใช้ชีวิตอย่างเริงร่าหากความปกติสามัญไม่ป่วยไม่ไข้ไปที่โรงพยาบาลร่วมสามชั่วโมง นี่ขนาดว่าคนน้อยๆ กว่าทุกทีที่เคยไปรอแล้ว


คนกับความป่วยเป็นของคู่กันก็จริง แต่คนเราก็พึงช่วยให้ตัวเองเว้นระยะที่จะไม่เจ็บป่วยได้ด้วยวิธีการต่างๆ นานาที่มีการบอกการแนะกันถึงเคล็ดลับของการมีสุขภาพดี ไม่ว่าจะเป็นการกินอาหารให้เหมาะสม ถูกต้อง การไม่ใช้ชีวิตหนักหน่วงไปในทางใดทางหนึ่งจนร่างกายเสื่อมทรุดหรือจิตใจบอบช้ำเกินกำลัง การออกกำลังกายสม่ำเสมอ และมองโลกในแง่ดี มีสุขภาพจิตที่ดีในการใช้ชีวิต เพื่อเป็นหลักประกันว่าเราอาจจะป่วยได้ก็จริง แต่ก็ให้มันเหมาะสมแก่เหตุบ้าง มิใช่เกิดจากการปล่อยปละละเลยหรือใช้ชีวิตไปในวิถีที่มุ่งสู่เตียงพยาบาลตลอดเวลา


ที่สำคัญก็คือเมื่อป่วยมากๆ จนหมดปัญญาที่เราจะดูแลเยียวยาตัวเองได้ อาจต้องพาความหวังและลมหายใจทั้งหมดทั้งมวลไปฝากไว้กับใครก็ไม่รู้ที่โรงพยาบาล แม้จะได้ชื่อว่าเป็นบุคลากรทางการแพทย์ก็เถอะ แต่ก็ขึ้นชื่อว่ายังเป็นคนอื่นอยู่ดี ใครจะเข้าใจและเต็มใจเยียวยาให้เราหายจากการป่วยไข้ได้อย่างที่ใจเราหวัง มิหนำซ้ำยังต้องเสียทั้งเวลาเสียทั้งเงินทองกว่าจะได้สุขภาพปกติกลับคืนมา


สู้ใช้ช่วงเวลาและลมหายใจที่ยังดีอยู่ ดูแลสุขภาพทั้งร่ายกายและจิตใจให้เข้มแข็งและแข็งแรงกันดีกว่านะครับ

ดีเดย์


16 เมษายนที่ผ่านมา นอกจากจะเป็นวันหยุดลองวีคเอนด์ช่วงสงกรานต์แล้ว ยังเป็นวันดีเดย์ที่แก๊งตะลุมบอนของเราเริ่มตะลุยเขียนบล็อก
16 พฤษภาคมวันนี้ มีความคล้ายคลึงเดือนที่แล้วประการหนึ่ง คือเป็นวันหยุดลองวีคเอนด์ (ไปได้ยังไงก็ไม่รู้) เหมือนกัน และเป็นวันครบรอบ 1 เดือนของบล็อกตะลุมบอน
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงเดือนเดียว พวกเรากระหน่ำเขียนเรื่องได้ 71 เรื่อง ตามเป้าหมายจริงต้องมี 90 เรื่อง เพราะตกลง (อย่างไม่เป็นทางการ) กันว่าให้เขียนทุกวัน
ก็มีบ้างบางวันที่ยุ่งมากจนไม่มีหัว
บางวันล้ามากจนไม่มีใจ
และถึงแม้ไม่เขียน ไม่ได้อัปบล็อก ก็มีแอบคิดถึงบ้าง คล้ายๆ เป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้ว

พวกเราเคยถกกันว่าการเขียนบล็อกคนละเรื่องทุกวัน จะทำให้ 1. มีเพื่อนๆ ติดตามอ่าน ประมาณว่าเป็นแฟนประจำเหมือนรอหนังสือวางแผง หรือ 2. เยอะเกินจนเบื่อจะอ่าน
สรุปว่าไม่ได้ข้อสรุป เพราะมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นทั้งสองกรณี
แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม เราสามคนคิดว่าจะมุ่งมั่นเขียนต่อไป เพราะพื้นที่นี้เหมือนสนามเขียนเล่น ให้เพื่อนๆ เข้ามาอ่านเล่น
ถ้าบางข้อเขียนจะแต้มรอยยิ้ม เติมความหวัง ปันแรงบันดาลใจ
แค่นี้เราก็แอบยิ้ม มีความหวัง และมีแรงบันดาลใจที่จะเขียนต่อไปเหมียนกัลล์ ^__^

วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

blue day

 เคยไหมที่ตื่นขึ้นในตอนเช้าแล้วรู้สึกมีอาการตุ่ยๆ ทางอารมณ์ ไม่อยากพูดอยากจา ไม่อยากเห็นหน้าใคร เห็นอะไรก็ดูขวางหูขวางตาไปหมด ความเบื่อหน่ายซึมเซาเกาะหนึบ หนักเข้าพาลจะหดหู่ ไร้สุขไปทั้งวัน
            บรรยายไปเรื่อยๆ จนชักจะคิดว่า นี่คือภาวะทางอารมณ์ของคนวัยทองหรือเปล่า อะจ๊าก !!!

วันศุกร์สีฟ้าเมื่อวานนี้ช่างเป็นวัน blue day เหลือเกิน อารมณ์หม่นๆ มาจากทั้งภาวะจิตใจของตัวเราเอง อาจเป็นสารเคมีบางอย่างในสมองลดต่ำลง หรือความคิดฟุ้งซ่านวกวน ผสมกับความเครียดจากภาระอึดอัดคับข้องใจแบบกลืนไม่เข้า คายไม่ออก ไหนจะมาเจอท้องฟ้าสีทึมเทายามฝนใกล้ตกอย่างนี้ มันช่างส่งเสริมความหมองหม่นกันดีจริ๊ง

เวลาเบื่อๆ เศร้าๆ ใครทำอะไรกันบ้าง
ช่วงที่ผ่านมา ฉันบำบัดความเบื่อและความง่วงของตัวเองด้วยการชงชา ไม่ใช่ชาแบบที่ต้มใส่กาเพื่อรินดื่ม แต่เป็นการชงชาเย็นแบบโบราณ
เมื่อต้องเปิดเตาแก๊ส ต้มน้ำ ตักชาใส่ผ้ากรองสำหรับชงชา การขยับเขยื้อนเปลี่ยนอริยาบถทำให้ความง่วงค่อยๆ หายไป
เมื่อค่อยๆ รินน้ำเดือดลงผ่านใบชา น้ำชาสีน้ำตาลใสไหลผ่านที่กรองออกมาสู่ภาชนะสแตนเลสที่เตรียมไว้ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของใบชาค่อยๆ กลบกลิ่นความเบื่อ
และเมื่อผสมนมสดและนมข้น ชาสีน้ำตาลใสก็แปรเปลี่ยนเป็นสีส้มขุ่น ลองเล่นสนุกแบบร้านชาชักด้วยการรินชาถ่ายไปมาระหว่างภาชนะสองใบ ยกสูงเท่าที่มือสมัครเล่นอย่างเราจะกล้าเสี่ยง ทำอย่างนี้ 7-8 รอบ ชานมของเราก็พูนด้วยฟองด้านบนเหมือนร้านชาชักไม่มีผิด
ความง่วง ความเบื่อมลายหายไป ความสุขเข้ามาแทนที่
บางทีความสุขก็มาง่ายๆ แบบนี้เอง

แต่วันนี้ดูเหมือนความอับเฉาจะหนาหนัก ไม่อยากชงชา ไม่อยากเขียนบล็อก (เมื่อวานตอนที่เขียนอยู่ เว็บ blogspot ก็ขัดข้องอีกต่างหาก) ไม่อยากอ่านหนังสือ คิดว่าถ้ามีใครชวนไปเที่ยวก็ยังเฉยๆ ไม่มีอารมณ์ดี๊ด๊าใดๆ ทั้งสิ้น
ระดับความสุขดิ่งลงเหว ฉันเลยคิดว่าถ้าเพิ่มน้ำตาลในเลือด ดัชนีความสุขอาจจะกระเตื้องขึ้นนิดนึง  ว่าแล้วก็แวะไปซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้บ้าน คว้าเจ้าขนมปังแท่งและน้ำจิ้มสตรอเบอร์รี่มากล่องนึง คิดว่าเอากลับไปจิ้มกิน อารมณ์อาจจะดีขึ้น
            ทันทีที่เปิดฝา ฉันหยิบขนมปังกรอบมากัด 1 แท่ง กัดเสร็จจึงเห็นว่าที่แท่งขนมปังพิมพ์รูปปลาวาฬและตัวหนังสือว่า whale biggest mammal
            ลองหยิบขึ้นมาดูอีกแท่ง เจอคำว่า mouse do not  be timid
ชักสนุกแฮะ ในกล่องมีสัตว์มากมายแทบไม่ซ้ำกัน
snail snail mail?
starfish star+fish
chicken kokekokko
cow mooooo
หยิบดูไปเรื่อยๆ จนเจอแท่งนี้
goat you are lucky today

อย่างน้อยวันนี้ก็ไม่เลวร้ายเกินไป
บางทีความสุขก็มาง่ายๆ แบบนี้เอง

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

วัยเยาว์ไม่อยู่กับเรานาน

รู้สึกว่าชื่อเรื่องในวันนี้จะเป็นคำที่พี่โหน่ง  a day เคยพูดหรือเขียนไว้ วันนี้ขออนุญาตยืมมาตั้งชื่อและเขียนถึงเสียหน่อย เหตุสืบเนื่องมาจากต้องเป็น ผู้ปกครองจำเป็น ซึ่งในชีวิตนี้สาบานว่าไม่เคยคิดอยากเป็น แม้จะเกิดราศีสิงห์ แต่เป็นสิงห์ที่ไม่สันทัดการปกครองและออกคำสั่ง มีอย่างเดียวที่ตรงกับลักษณะคนเดือนสิงหาคือเป็นนางสิงห์ที่หวงอาณาเขตค่อนข้างสูง

เมื่อวานนี้ฉันทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองให้หลานสาวที่เอนท์ติดคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ แทนพ่อแม่ของนิสิตใหม่ซึ่งฝากฝังให้พาหลานไปมอบตัวที่คณะฯ เพราะพ่อแม่ตัวจริงกลับอุบลฯ ไปทำงานทำการแล้ว
การเป็นผู้ปกครองจำเป็นทำให้ได้กลับไปสู่บรรยากาศวันแรกของว่าที่นิสิตใหม่อีกครั้ง วันแรกที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ความแปลกใหม่ ความหวัง ความเปลี่ยนแปลง คละระคนกับความตื่นกลัวและความสุขในหัวใจ    
เมื่อวานนี้มีเด็กนักเรียนม.6 จากหลากหลายโรงเรียนเดินกันขวักไขว่ทั่วจุฬาฯ
เด็กม.6 ที่อีกไม่ถึงสองอาทิตย์จะสลัดชุดนักเรียน แล้วเปลี่ยนไปสวมเครื่องแบบนิสิต อันเป็นสัญลักษณ์ของการก้าวพ้นบันไดขั้นสุดท้ายของความเป็นเด็ก ไปสู่บันไดขั้นแรกของการเป็นผู้ใหญ่
            ได้เห็นว่าที่นิสิตปี  2 ที่กำลังจะถอดเน็คไทและถุงเท้าขาวออก ล้วนแข็งขันกับการสืบทอดหน้าที่ของรุ่นพี่ที่ดี คอยเกื้อหนุนและให้คำปรึกษาน้องๆ สำหรับโลกใบที่ใหญ่ขึ้น

            ยังจำชีวิตปีหนึ่งกันได้หรือเปล่าพวกเรา
ชีวิตเฟรชชี่ที่มีเพื่อนร่วมชั้นปีเป็นร้อยคน (หรือมากกว่า) จากที่เคยมีแค่ 40 กว่าคน
ชีวิตเฟรชชี่ที่มีรุ่นพี่มาทำหน้าเหี้ยม ตะคอกใส่ สารพัดจะสรรเรื่องมาตำหนิ ทำเอาหน้าซีดตัวแข็ง ไม่กล้าหือ แม้ในใจจะตะโกนถามกลับด้วยเดซิเบลดังเท่ากันว่า เป็นบ้าอะไรเนี่ย มาว่ากูทำไม้
ชีวิตเฟรชชี่ที่มีรุ่นพี่ปี 4 ปี 3 และปี 2 ผูกข้อมือให้ด้วยด้ายขาว แล้วบอกพวกเราว่า ที่ด่าไปทั้งหมดเพราะพวกพี่รักเรา
ชีวิตเฟรชชี่ที่มีกิจกรรมมากมายให้เล่นสนุกไม่หยุดไม่หย่อน
ชีวิตเฟรชชี่ที่มีพี่ๆ เวียนพาพวกเราไปเลี้ยงข้าว
ชีวิตเฟรชชี่ที่สนุกเหลือใจ
ชีวิตเฟรชชี่ที่มีครั้งเดียวเท่านั้น
            เพราะวัยเยาว์ไม่อยู่กับเรานาน

โลกด้านข้าง

ในบรรดาคำต่างๆ ของไทย คำหนึ่งที่ผมรู้สึกว่ามีความหมายที่ดี ที่อบอุ่นและยังส่องสะท้อนถึงเบื้องลึกของความเป็นคนอารีอารอบของคนไทยมากที่สุดก็คือคำว่า "เผื่อแผ่"

...เผื่อแผ่ในบางทีบางครั้งมาพร้อมกับคำว่า "ช่วยเหลือเผื่อแผ่" ซึ่งมีความหมายเท่ากับคำว่า "แบ่งปัน"

................................

หลายๆ วันมานี้ผมมีอันจะต้องทำอะไรที่แตกต่างออกไปจากชีวิตปกติหรือความคุ้นเคยเดิมๆ เพราะมีหลานสาวเข้ามาพักด้วยแค่ช่วงเวลาสั้นๆ เพื่อเตรียมตัวเป็นนิสิตใหม่ ทำให้เราจะต้องยุ่งเกี่ยวไปโดยปริยายกับการเป็นธุระพาไปรายงานตัวเพื่อเป็นน้องใหม่ หรือพาไปกินข้าวนอกบ้านเปิดหูเปิดตาบ้าง ซึ่งทั้งหมดที่ว่ามาก็ไม่ถือว่าเป็นภาระยุ่งยากของชีวิตที่เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด เพียงแต่เปลี่ยนความคุ้นเคยคุ้นชินเดิมๆ ในแต่ละวัน มีเรื่องให้ต้องวางแผนกะการณ์เพิ่มเข้ามา แล้วเดินออกนอกเส้นทางซึ่งบางทีก็ทำให้เรารู้สึกหงุดหงิดกับความไม่แน่นอน หรือสิ่งที่ดูเหมือนธุระไม่ใช่
................................
ไม่รู้ ไม่ใช่ธุระ และไม่ทำ...
คงเป็นเรื่องไม่ยากเกินไปที่คนเราจะเอ่ยคำเหล่านี้ออกมาดังๆ เมื่อถูกร้องขอ หรือแม้จะไม่มีการร้องขอตรงๆ แต่ก็ดูเหมือนเราจะต้อง "ทำ" เพราะคล้ายเป็นภาระหน้าที่ที่ปฏิเสธไม่ได้จากความสัมพันธ์ บุญคุณหรือความเกรงใจ หลายๆ ครั้งคนเราจึงจำต้องทนและบอกกับตัวเองว่า ทำๆ ไปเถอะ แค่หนเดียวหรือครั้งเดียวเท่านั้นที่เราจะช่วย ประเดี๋ยวมันก็เสร็จและจบไป ซึ่งในที่สุดก็นำความยุ่งยากใจหรือความสับสนทางความรู้สึก กระทั่งกลายเป็นภาระที่ถมทับเข้ามาในชีวิตที่เคยดำเนินไปตามปกติ

สำหรับผมเองนั้นคิดว่า จริงอยู่คนเราจะต้องมีชีวิตกับการเดินไปข้างหน้ากับเรื่องราวของอนาคต หรือมองย้อนหลังเพื่อตรวจสอบประเมินทิศทางชีวิต เราจึงถนัดที่จะมองเห็นหรือใช้ชีวิตยึดติดผูกพันอยู่กับ "โลกข้างหน้า" ที่มองเห็นแค่ความสูงต่ำจากมุมมองและทัศนคติการใช้ชีวิตที่เราเองคิดหรือกำหนดเอาไว้ โดยหลงลืมไปว่า บางทีเราเองก็อาจจะต้องให้ความสนใจและบริหารลำคอด้วยการหันไปมอง "โลกข้างๆ" ดูบ้าง

โลกด้านข้างที่ผมหมายถึงก็คือการที่เราลองหันไปเหลียวแล หรือหยิบยื่นแบ่งปันกับสิ่งอื่นและคนอื่นที่อยู่ข้างๆ เราบ้าง ลงมือช่วยเหลือแบ่งปันที่ว่านี้ไม่ใช่ความสุขทุกข์ หรือมีผลต่อความเป็นไปของเราตรงๆ ไม่ใช่แค่สิ่งที่ต้องทำให้แก่คนรู้จัก หรือเพราะเป็นญาติเราเท่านั้น แต่หมายถึงการมองไปที่สิ่งอื่นข้างๆ ชีวิตเราที่ไม่เคยเห็นว่าสำคัญต่อความเป็นไปมาก่อน เพราะมัวแต่สนใจมองชีวิตไปข้างหน้าหรือข้างหลัง มองขึ้นบนมองลงล่างจากจุดยืนของเราเองเพียงอย่างเดียว

ลองให้โดยไม่หวังและหันมองโลกด้านข้างๆ ที่ไม่ว่างเปล่าดูบ้าง แม้ไม่สำคัญ แต่ก็อาจให้ความแตกต่างแก่ชีวิตที่ได้เรียนรู้คำว่า "เผื่อแผ่แบ่งปัน" :)

วันพุธที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

4 บรรทัด เปลี่ยนชีวิต

  ฉันสงสัยมานานแล้วว่างานวิจัยที่ว่าคนไทยอ่านหนังสือ 7 บรรทัดต่อปี เป็นงานวิจัยของใคร แล้วจริงเท็จประการใด มีหลักฐานการวิจัย จำนวนที่สุ่มตัวอย่างมากน้อยแค่ไหน?  และจนถึงวันนี้คนไทยยังอ่าน 7 บรรทัดอยู่หรือเปล่า? ฉันค่อนข้างคิดมากในเรื่องนี้ในฐานะคนรักการอ่าน คิดเลยเถิดขนาดว่าหากคนไทยอ่านหนังสือแค่ 7 บรรทัด ประเทศชาติเราคงไม่มีวันเจริญแน่นอน

แต่พอถึงวันนี้ฉันมีความคิดใหม่ว่า การอ่านหนังสือแค่  7 บรรทัด หรือแค่ 4 บรรทัด ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรนัก..หาก 7 บรรทัดเป็นวรรคทองที่สามารถเปลี่ยนชีวิตเราได้ ฉันมี 4 บรรทัดที่พกติดตัวไว้ในชีวิตและอยากจะแบ่งปันให้คุณได้อ่านบ้าง

   วันใดที่ฉันเริ่มหมดกำลังใจ ยอมแพ้ต่อโชคชะตา ฟูมฟายฟุ้งซ่าน นึกสงสารตัวเอง  ฉันจะอ่านแค่ 4 บรรทัดนี้เป็นการเตือนใจ

  ปีกของใครอ่อนล้าก็อย่าบิน
  ใจของใครแหว่งวิ่นก็อย่าฝัน
  ยังมีใครต่อใครใต้ดวงตะวัน
  ที่ยังฝันที่ยังบินจนสิ้นลม 
     (ฟอน ฝ้าฟาง)

   สำหรับคนอกหักรักคุด รักคนที่เขาไม่รักตัวเอง 4 บรรทัดนี้สำหรับคุณ

   หนึ่งจะมีรักใหม่อย่าให้รู้
   สองจะอยู่กับใครอย่าให้เห็น
   ขอเถิดนะให้ฉันสองประเด็น
   แล้วจะเป็นผู้แพ้อย่างแท้จริง
(ขออภัยที่จำชื่อคนแต่งไม่ได้ และอาจจำถ้อยคำผิดบ้าง)

สำหรับนักดื่มสุรา ต้องท่องจำ 4 บรรทัดนี้ไว้ให้แม่น

อันขี้เหล้านี้ดีกว่าขี้รัก
แม้ว่าจักเอะอะกลางถนน
อันขี้เหล้าอดได้ไปหลายคน
แต่ขี้รักติดตนไปจนตาย

(ฉันท์ ขำวิไล)

ประโยคสั้นๆ ที่อาจเปลี่ยนชีวิตคุณได้
"หินผาที่ขวางอยู่ข้างหน้า เป็นสิ่งกีดขวางสำหรับคนอ่อนแอ แต่เป็นบันไดสำหรับคนเข้มแข็ง"
(สุภาษิตจีน)

ประโยคสำคัญสำหรับนักลงทุน
"ผมไม่เคยเจอใครที่ชอบเสียเงิน และผมก็ไม่เคยเจอคนรวยที่ไม่เคยเสียเงิน แต่ผมเคยเจอคนจนที่ไม่ยอมเสียเงินในการลงทุนแม้แต่สตางค์เดียว"

"การลงทุนที่ไม่เสี่ยง ยังดีกว่าไม่มีการลงทุนเลย"

"ความรู้ทำให้ได้เงิน ความไม่รู้ทำให้เสียเงิน"
(Robert T Kiyosaki พ่อรวยสอนลูก เล่ม 2)

นี่คือสามบรรทัดที่อาจทำให้คุณกลายเป็นผู้ชนะในชีวิต
"ความพ่ายแพ้มักจะตามมาด้วยชัยชนะ ก่อนขี่จักรยานเป็น ผมล้มไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ผมไม่เคยเจอนักกอล์ฟที่ไม่เคยสูญเสียลูกกอล์ฟ หรือคนมีรักที่ไม่เคยอกหัก "

(Robert T Kiyosaki )

 สุดท้ายประโยคสำหรับการใช้ชีวิตให้มีความสุข
"คนที่มีความสุขที่สุด ไม่ใช่คนที่มี"สิ่งที่ดี"ที่สุด
แต่คนที่มีความสุข คือคนที่ทำ"สิ่งที่มี" ให้ดีที่สุด"
(นิตยสาร summer ฉบับเดือนกรกฏาคม 2000)


   ไม่ว่าคนไทยจะอ่านหนังสือแค่หนึ่งบรรทัด สอง สาม หรือ เจ็ดบรรทัด ทั้งหมดนี้คงไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด หากเนื้อหาในบรรทัดสั้นๆ ที่เราอ่านสามารถสร้างแรงบันดาลใจและขับเคลื่อนพลังในตัวเราเองให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างท้าทาย

   เชื่อเถิดว่า..สี่บรรทัด..ก็เปลี่ยนชีวิตได้..
  
 Paokuntima
11/05/2011

ทำงานแบบมด

ยอมรับครับว่าเกือบจะหมดมุข (ขออภัยผู้ที่ชอบตรวจไวยากรณ์ภาษา ผมชอบและถนัดที่จะเขียน "มุข" แบบนี้มากกว่า "มุก") ที่จะหาเรื่องหรือนำเรื่องมาพูดคุยกันบนบล็อกตะลุมบอนตามโควต้าเขียนเรื่องทุกวันของผมแล้ววันนี้

ยอมรับอีกว่าชีวิตยุ่งเหยิงไม่น้อยทั้งงานราษฎร์งานหลวง งานประจำ การเขียนบล็อก และงานที่จะทำ ไหนจะงานที่คิดว่า "อยากทำ" อีก ทำให้ดาบในมือต้องกวัดต้องแกว่ง ขณะเดียวกันก็จะต้องรักษา "ฝีดาบ" เอาไว้ให้คม ชักดาบเมื่อไหร่จะต้องถึงเลือดถึงเนื้อในลีลาการสนทนาชวนคุยผ่านงานเขียนอีกด้วย

อาจจะหมดมุขในสิ่งที่จะเล่า แต่สิ่งที่ไม่เคยหมดไปจากชีวิตก็คือเนื้อหาและปริมาณงานนั่นเอง เพราะฉะนั้นแล้วเอาเรื่องการทำงานๆ มาคุยแลกเปลี่ยนบ้างจะดีกว่า...

ผมว่าในร้อยทั้งร้อยคนที่จะต้องเจอะเจอแบกรับกับการทำงานทุกๆ วันหรือที่เรียกว่า "การทำงานประจำ" นั้น มักจะอยู่ในภาวะ "เบื่อๆ อยากๆ" สองจิตสองใจระหว่างความอยากทำงาน ความรับผิดชอบ กับการที่อยากจะปลดแอกตัวเองออกจากภาระหน้าที่ต่างๆ ไปสู่การว่างงาน ไม่ต้องทำงานประจำทุกๆ วันดูบ้างสักครั้งคราในชีวิตด้วยกันทั้งนั้น

ผมเองเมื่อตอนทำงานประจำอยู่ก็เป็นเช่นนั้น และใฝ่ฝันวันที่จะได้ตื่นสายๆ ไม่ต้องเข้าทำงานตามเวลาสำนักงาน ได้หยุดได้พักตามแต่ที่ตัวเองต้องการ ซึ่งจะไม่มีทางเป็นจริงได้เลย ถ้าหากว่าเราไม่เลือกและไม่ "ลงมือทำ" งานในอีกด้านหนึ่งให้กับตัวเอง...ซึ่งก็ถือได้ว่าเป็นความเสี่ยงและความเหน็ดเหนื่อยอีกรูปแบบหนึ่งซึ่งใครก็ตามที่อยู่ในชีวิตการทำงานประจำมานานแล้ว อาจไม่คุ้นเคยและไม่กล้าที่จะสร้างทางเลือกใหม่ในการทำงานให้กับตัวเองโดยที่ไม่มีใครมากำหนดสั่งการ หรือนั่งทำงานไปวันๆ ผ่านไปเดือนหนึ่งก็ได้เงินเดือนเต็มเม็ดเต็มหน่วยเช่นเดิมทุกๆ เดือน

การงานในชีวิตของคนเรา โดยเฉพาะคนทำงานประจำจึงไม่เคย "หอมหวาน" หรือดึงดูดใจให้เราเดินเข้าไปหา มีก็แต่อยากจะละวางหรือทำงานให้เสร็จๆ ไปเพื่อจะได้ถึงวันหยุดวันพัก...วันที่บอกตัวเองว่าพอแล้วหยุดทำงานได้แล้ว

เคยเห็นเวลาที่มดเดินกันไหมครับ เจ้าสิ่งมีชีวิตตัวน้อยๆ เหล่านี้ชอบเดินกันเป็นสายเพื่อตามกลิ่นหรือสอดส่องอะไรบางอย่างที่จะนำกลับไปเลี้ยงนางพญามด ตัวอ่อนและมดอื่นๆ ในรังของพวกมันได้ มดที่เราเห็นก็คือ "มดงาน" ไม่ว่าจะเป็นมดดำ มดแดง หรือมดอื่นใดก็คือมดหนุ่มสาวที่แข็งแรงแข็งขันและเกิดมาเพื่อทำหน้าที่ออกไปทำงานเพื่อ "เลี้ยงดู" สังคมมดของพวกมัน
บรรดามดงานเหล่านี้คือมดที่จะต้องสุ่มเสี่ยงกับอันตรายจากภายนอกทั้งจากคนใจร้ายที่ชอบบี้มดให้แบนหรือสัตว์กินมดชนิดอื่นๆ ต้องยอมเหนื่อยยากออกเดินตามกันเป็นขบวน หรือไม่ก็แยกย้ายกันออกไปหาอาหาร หรือสำรวจแหล่งอาการ เสร็จแล้วถ้าหาเจอก็ยินยอมที่จะแบก "น้ำหนัก" ของก้อนอาหารที่แสนจะใหญ่โตเกินตัวของมันเองเพื่อเอากลับไปสะสมไว้แบ่งปันร่วมกันเพื่อนๆ รังเดียวกัน

ในบรรดาอาหารที่เป็นที่โปรดปรานของมดนั้นเห็นจะไม่มีสิ่งใดเกินน้ำตาล หากน้ำตาลหรือน้ำผึ้งอันหอมหวานมีฤทธิ์ดึงดูดให้มดงานเหล่านี้เดินเข้าไปหาได้ง่ายดาย พวกมันย่อมไม่รู้สึกถึงภาระหรือความเหนื่อยยากเกินตัวที่จะตามมา หากว่าเดินไปพบเจอน้ำตาลหรืออาหารหวานๆ เข้า แล้วจะต้องบรรทุกขึ้นหลังกลับไปที่รัง

ยอมเหนื่อยมิใช่เพื่อตัวเอง แต่มองความสุขของสังคมส่วนรวมเป็นภาพใหญ่ ยอมแบกภาระหนักอึ้งเกินตัวโดยไม่เกี่ยงงอน สามัคคีรักพวกพ้อง น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีของการทำงานแบบมดๆ สัตว์โลกตัวจ้อยที่แทบจะไม่อยู่ในสายตาของมนุษย์ตัวใหญ่ที่ชอบบ่นเบื่อเรื่องการทำงาน

วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

วิชาตัวเบา


ถ้าตะโกนถามผู้หญิงร้อยคนคละวัยว่าใครอยากผอมยกมือขึ้น เชื่อว่าต้องมีคนชูแขนผลึ่บผลั่บไม่ต่ำกว่าครึ่ง ก็ในเมื่อความผอมกลายเป็นบรรทัดฐานของความสวย ทั้งวัยรุ่น วัยสาว วัยกลางคน ผู้หญิงวัยไหนก็เหอะ กลัวอ้วนกันทั้งนั้น
            โชคดีที่ฉันเกิดมาผอมแห้งแรงน้อย ได้เชื้อพ่อมาเยอะก็เลยผอมสูงเหมือนพ่อ จำได้ว่าตอนเป็นวัยรุ่นฉันกินเก่ง น่าจะเรียกได้ว่ากินล้างกินผลาญกันเลยทีเดียว กินไปแป๊บๆ ยังไม่ทันไร หิวอีกแล้ว ดีที่บ้านเราเปิดร้านก๋วยเตี๋ยว หิวปุ๊บลวก (ก๋วยเตี๋ยว) ปั๊บ กินได้กินดี แถมกินเท่าไหร่ก็ไม่เคยอ้วน
            ผ่านเข้าสู่วัยทำงาน จากวัยทีนมาสู่วัยยี่สิบกว่าๆ ฉันยังคงรักษาประสิทธิภาพการกินได้ดีเยี่ยมดุจเกลือรักษาความเค็ม แต่เมื่อผ่านวัยรุ่นไปแล้ว ระบบการเผาผลาญอาหารเริ่มอ่อนแรง ไม่ปรู๊ดปร๊าดเผาไหม้หมดจดเหมือนก่อน ทีนี้เสร็จล่ะสิ หน้าท้องที่เคยแบนราบ เริ่มมีไขมันมาเปิดบัญชีออมทรัพย์ นานวันเข้ากลายเป็นบัญชีฝากประจำ
3 เดือนก็แล้ว 6 เดือน 12 เดือน ไม่มีทีท่าว่าไขมันจะปิดบัญชี จากวันนั้นถึงวันนี้ มันได้กลายเป็นบัญชีแบบฝากตลอดชีพไปเรียบร้อยแล้ว

จนถึงทุกวันนี้ความอ้วนยังไม่ได้เป็นทั้งเพื่อนสนิทหรือศัตรูตัวร้ายของฉัน น่าจะเป็นความโชคดีของร่างกายที่คงระดับน้ำหนักไว้ไม่เหวี่ยงเกิน 1-2 กิโลมาตั้งแต่วัยเช้ายันวันบ่ายคล้อยในวันนี้ จะมีก็แต่นังพุงนั่นแหละที่ปูดโปนออกมาให้ระอาใจ มิใยจะกำจัดอย่างไร เดี๋ยวมันก็กลับมาใหม่
วันก่อนพี่กุ้ง (ชื่อในเฟซบุ้คคือ Euretha Atelier) อดีตอาจารย์สอนวิชาออกแบบลายผ้าและสิ่งทอ คณะศิลปกรรม จุฬาฯ ส่งข้อความมาถามประสบการณ์ล้างพิษของฉัน ก็เลยเห็นว่าน่าจะเอามาเขียนบล็อกซะหน่อย กำลังหาเรื่องเขียนอยู่พอดี อิอิ

ราว 10 ปีที่แล้วฉันได้ยินเรื่องการกินอาหารแบบแมคโครไบโอติคมาระยะหนึ่ง แต่ไม่เคยทดลอง จนกระทั่งวันหนึ่งเกิดฮึด เอาหนังสือมาอ่าน ทั้งแมคโครไบโอติคและหนังสือล้างพิษ คิดว่าไหนๆ มีวันหยุดติดกัน 3 วัน จำศีลอยู่บ้าน ไม่ได้ไปไหน ไม่ต้องใช้พลังงานเยอะ น่าจะลองล้างพิษดูซิ เผื่อพุงจะยุบบ้าง
ในหนังสือมีวิธีล้างพิษแบบ 3 วัน 7 วัน แนะนำรายการการกินอาหารแต่ละวันว่าให้งดหรือให้กินอะไร ซึ่งฉันจำรายละเอียดไม่ได้ จำได้แต่ว่าเป็นการล้างพิษแบบหักดิบจริงๆ เพราะวันแรกไม่ได้กินอะไรเลย ให้เอาน้ำลูบท้องอย่างเดียว
ทีนี้อยู่แต่บ้าน ก็เปิดดูแต่ทีวี ก่อนหน้านี้ไม่เคยสังเกตเลยว่า ในทีวีมีโฆษณาของกินมากมายขนาดนี้ จนวันนั้นนั่นแหละ วันที่ท้องร้องครืดคราด เดี๋ยวๆ ก็โฆษณาพิซซ่า เปลี่ยนช่องไปนึกว่าจะรอด ดันเจอมาม่าต้มยำกุ้งอีก ทำใจสู้ ดูไปน้ำลายยืดไป ไม่ทันไรโฆษณาน้ำอัดลมเปิดจุกเย็นซ่า ไหนจะนมสด นมเปรี้ยว โยเกิร์ต นี่ยังไม่นับรวมพวกขนมขบเคี้ยว กูลิโกะ มันฝรั่ง โก๋แก่ ล้วนแล้วแต่ทรมานพยาธิ ชวนให้ตบะแตก ลงไปต้มมาม่า เปิดกระป๋องน้ำอัดลม แล้วค่อยโทรสั่งพิซซ่ามากินซะให้สาสม
แต่ฉันก็ซาดิสม์ อดทนทดอดผ่านไปจนครบสามวัน โดยวันหลังๆ กินน้ำต้มผักบ้าง กินผักต้มบ้าง แต่ผอมลงหรือเปล่า ทำไมจำไม่ได้ก็ไม่รู้แฮะ จำได้แต่รสชาติความหิว แล้วลงเอยด้วยความคิดว่า จงเลี้ยงพุงต่อไปเถอะเรา

จนเมื่อสี่ปีแล้ว ไปทำข่าวเรื่องโยคะที่สมุย ทางสตูดิโอมีคอร์สล้างพิษด้วยน้ำผลไม้ ดูค่าใช้จ่ายแล้วคิดว่า ข้าวปลาก็ไม่ได้กิน แต่ไหงค่าใช้จ่ายมันหลายสตางค์จริงวุ้ย อย่ากระนั้นเลย กลับมาประยุกต์พลิกแพลงเอาเองดีกว่า
น้ำแครอทผสมฝรั่งสกัด ส่วนข้่าวผัดอเมริกันอย่าไปสนใจมัน :D

ฉันตั้งเวลาล้างพิษด้วยน้ำผลไม้ 3 วัน ก่อนจะถึงวันล้างพิษต้องค่อยๆ ลดปริมาณอาหารลงทีละนิด เลือกอาหารที่ย่อยง่ายไม่หนักท้อง พอถึงวันแรกฉันเริ่มต้นด้วยการดื่มน้ำผลไม้ 3 มื้อ เอาแครอทและฝรั่งมาเข้าเครื่องแยกกาก สกัดเป็นน้ำออกมา ดื่มอั้กๆ แก้วโต อิ่มได้แป๊บๆ พอหิวก็ดื่มน้ำเอา
วันที่สอง ดื่มน้ำผลไม้สกัด 3 มื้อ และเพิ่มผลไม้ที่ย่อยง่าย น้ำตาลไม่เยอะมาก 1 อย่างกินควบคู่ไปด้วย จำได้ว่าฉันเลือกส้มโอ (ไม่รู้น้ำตาลเยอะหรือเปล่า แต่ชอบ) วันนี้ค่อยอิ่มท้องขึ้นหน่อย เพราะมีอะไรมาให้เคี้ยวบ้าง
วันที่สาม ดื่มน้ำผลไม้สกัดทั้ง 3 มื้อ กินส้มโอ เพิ่มผลไม้อีกอย่างคือแอ๊ปเปิ้ล และมื้อเย็นกินสลัดผัก (เลือกสลัดน้ำใส) ไชโย
สามวันผ่านไป คราวนี้เห็นผลชะงัดมาก พุงแบนแต๋ ต้นขาตรงสะโพกที่เคยเป่งออกมาก็ยุบลงไปอย่างอัศจรรย์ ตัวเบาแบนเห็นได้ชัด ยอมรับว่าฉันติดใจการล้างพิษด้วยวิธีนี้มาก ช่วงนั้นทำเกือบทุกเดือน ว่ากันตามหลักสุขภาพ บอกตรงๆ ว่าไม่รู้ว่าถูกต้องหรือไม่ แต่คิดปรับแต่งเอาตามความสะดวกของเรา
ทีนี้การกลับมากินอาหารหลังล้างพิษเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ เพราะกระเพาะอาหารของเราเพิ่งมีโอกาสได้ลิ้มรสลองวีคเอนด์กับเขา ได้หยุดพักผ่อน ไม่ต้องย่อยอาหารอยู่ตลอดเวลา พอจะกลับมาเริ่มกินอาหารใหม่ คราวนี้ต้องค่อยเป็นค่อยไป โดยเริ่มจากอาหารย่อยง่ายอย่างสลัด ข้าวต้ม ปลานึ่ง ผักนึ่ง เกี๊ยวน้ำหรือสุกี้แห้งก่อน
วันแรกๆ เราจะไม่ค่อยหิวเท่าไหร่หรอก ข้าวก็กินไม่เยอะ เพราะมันทั้งอิ่มไปเองและทั้งอยากรักษาหน้าท้องแบนราบให้คงอยู่นานๆ แต่พอผ่านไปหลายวันเข้า วิถีการกินอาหารก็จะค่อยๆ ปรับกลับมาเป็นแบบเดิม
ฉันไม่ได้ล้างพิษด้วยน้ำผลไม้มาสองปีแล้ว แถมช่วงนี้ไม่ได้ไปโยคะอีกต่างหาก เพราะเซ็นทรัลลาดพร้าวปิดปรับปรุง ไขมันก็เลยกระหน่ำดอกเบี้ยฝากประจำแบบไม่หักภาษีให้ซะอ่วม
เห็นทีเร็ววันนี้มาเริ่มต้นล้างพิษใหม่ดีกว่า กลับเข้าคอร์สวิชาตัวเบาอีกสักหน
แต่ก่อนจะถึงวันนั้น (ซึ่งไม่ได้กำหนดว่าวันไหน) ตอนเที่ยงอย่างนี้ขอไปจัดการขนมจีนน้ำยาไข่ต้ม หมูทอด ชานมเย็น แล้วปิดท้ายด้วยข้าวเหนียวมะม่วง น่าจะอิ่มกำลังดี ฮี่ ฮี่   

จินตนาการของความรู้

"จินตนาการสำคัญกว่าความรู้"
(Imagination is more important than knowledge.)
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักฟิสิกส์และนักคณิตศาสตร์ชาวเยอรมันชื่อก้องโลกผู้ล่วงลับไปแล้วเคยว่าเอาไว้ และมันกลายเป็น "วรรคทอง" ที่คนรู้จัก จดจำเขาได้ ไม่น้อยไปกว่าการคิดค้นทฤษฎีสัมพัทธภาพที่มาของระเบิดปรมาณู


ไม่ว่าสิ่งที่ทำให้ไอน์สไตน์พูดประโยคนี้เอาไว้จะมีอะไรดลใจอยู่เบื้องหลัง หรือว่าจริงไม่จริงมากน้อยอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดจากความหลงใหลและเชิดชูคำกล่าวนี้ก็คือในโลกเรานี้มีคนกลุ่มหนึ่งที่ให้คุณค่าต่อ "จินตนาการ" ไม่น้อย

ขณะเดียวกันก็อาจบอกด้วยว่าอย่างน้อยๆ เราอาจแบ่งแยกคนทั้งหมดในโลกนี้ออกเป็น 2 กลุ่มคือ ผู้อยู่ในข่ายของผู้หลงใหลในจินตนาการ กับผู้ที่คร่ำเคร่งอยู่ในแว่นตาของความรู้

ภาพที่คนจดจำได้ในบุคลิกขี้เล่นของนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่
บรรดาผู้ที่ให้คุณค่าต่อจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์มากๆ คงจะหนีไม่พ้นบรรดาศิลปินและคนที่สร้างสรรค์งานศิลปะ ซึ่งคนเหล่านี้มักจะอยู่กับอาการค้นหา ไขว่คว้าความฝัน การเปิดความคิดและพรมแดนของตัวเองให้กว้างเพื่อหาแรงบันดาลใจ ก่อให้เกิดจินตนาการสารพัน แต่ก็ไม่วายถูกค่อนขอดจากคนในอีกมุมหนึ่งที่อยู่ตรงกันข้ามถึงความไร้สาระ ขาดแก่นสาร เพ้อฝันล่องลอย

ขณะที่อีกด้านหนึ่งคือผู้ยึดติดกับความรู้ เชื่ออะไรที่เป็นเหตุเป็นผล การพิสูจน์ ตรรกะ หรือการพยายามไขว่คว้าหาข้อมูลเพื่อเอาชนะ "ความไม่รู้" ในขอบเขตของมันสมองมากกว่าหัวใจ จึงทำให้ถูกมองว่าเป็นพวกคร่ำเคร่ง เอาจริงเอาจัง และมองอะไรไม่ค่อยจะพ้นกรอบทางความคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งเชื่อเรื่องการตั้งสมมุติฐาน การพิสูจน์ หาเหตุผลหักล้าง ก่อนนำไปสู่ข้อสรุปให้กับตัวเองในเรื่องต่างๆ

ผมเองนั้นรู้ตัวดีมาตลอดตั้งแต่เด็กๆ ว่าชอบการวาดเส้นเล่นสี ขีดๆ เขียนๆ ชอบอ่านหนังสือ ฟังเรื่องเล่า ดูหนังและฟังเพลงมากกว่าการแก้โจทย์คณิตศาสตร์ หรือการอยากจะรู้ว่าโลกห่างจากดวงอาทิตย์เท่าไร หรือโคจรอย่างไรในระบบสุริยะจักรวาล ผมจึงเป็นคนของ "จินตนาการ" มากกว่าที่จะคิดว่าตัวเองเป็นพวกชอบความรู้แสวงหาความรู้

วิชาที่ผมชอบเรียนตอนเด็กๆ จึงเป็นวิชาพวกศิลปะ หรือดนตรีแบบงูๆ ปลาๆ คือชอบฟังชอบวิจารณ์มากกว่าที่จะหยิบเครื่องดนตรีมาเล่น ชอบขีดๆ เขียนๆ ชอบวิชาภาษาไทย ภาษาอังกฤษ สังคมศึกษา และวิชาภูมิศาสตร์เพียงเล็กน้อย แต่เป็นไม้เบื่อไม้เมามาตลอดกับวิชาเลข วิชาฟิสิกส์หรือเคมีที่จำต้องกัดฟันเรียนแบบไม่รู้เรื่อง (เป็นข้อพิสูจน์ว่าถึงจะเรียนวิชาแห่งความรู้ก็ไม่ได้ทำให้เรามี "ความรู้" ขึ้นมาได้) มาจนจบมัธยมฯ

ที่พูดถึงการเรียนตอนมัธยมฯ ของตัวเองเพราะคิดว่าคนเราใช้เวลาในช่วงเวลานั้นที่จะเรียนรู้ว่าเราชอบเรียนอะไร ไม่ชอบเรียนอะไร กว่าจะก้าวเดินไปเข้ามหาวิทยาลัยหรือเข้าสู่เส้นทางการเรียนรู้เพื่อประกอบอาชีพ เราเองก็อาจจำเป็นที่จะต้องนิยามแบ่งแยกตัวเองว่าอยู่ในฝ่ายใดระหว่าง "จินตนาการ" กับ "ความรู้"

เส้นขอบฟ้าที่หายไป จินตนาการพลอยหดหายตาม
เหรียญสองด้านที่ควรจะอยู่บนเหรียญเดียวกันก็เลยถูกแบ่งแยกออกเป็นคนละเหรียญไป ด้วยความไม่ชอบ ความไม่รู้ ไม่เห็นความสำคัญหรือคุณค่า ตลอดจนการที่เราไม่ได้ "เรียนรู้" จากบทเรียนที่เหมาะสมหรือวิธีการที่น่าสนใจพอว่า ถ้าจะให้ดีสองสิ่งนี้- จินตนาการกับความรู้ ไม่ควรมีเส้นคั่นแบ่งแยกหรืออาจคือสิ่งเดียวกัน เพียงแต่เป็นเหรียญที่อยู่คนละหน้าและกำลังหล่อหลอมความพอดีความสมบูรณ์ให้กับคนเรา

หากเรายอมรับความจริงที่ว่า มีจินตนาการอยู่ในทุกความรู้ และมีความรู้อยู่ในทุกจินตนาการ โลกคงผลิบาน งดงาม น่าอยู่ และสร้างทำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตและโลกเราได้ดีกว่าที่มีที่เป็นอยู่ตอนนี้...