คำตอบก็คือ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน..อาจเพราะความมืดครึ้มของท้องฟ้า ความเย็นฉ่ำของสายฝน หรือความจริงแล้วเราทุกคนล้วนมีความหม่นเศร้าซุกซ่อนอยู่ในหัวใจ..เพียงเมฆครึ้มฟ้าและหยาดฝนโปรย ก็ช่วยจุดชนวนความเหงาเศร้าในใจให้ปะทุขึ้นอีกครั้ง
ฝนตกคราใด ภาพเก่าๆ ในอดีตของฉันมักผุดพราย..ฉากชีวิตที่บ้านไม้ในสวนแม้จะลางเลือนไปบ้าง แต่ก็ยังจำภาพยามฝนตกได้อย่างแจ่มชัด
ครอบครัวฉันย้ายจากเมืองไปอยู่ในสวนด้วยเหตุผลหลายประการ ในเวลานั้นที่นั่นไม่มีน้ำประปาและไม่มีไฟฟ้า ฟังดูไม่น่าเชื่อทั้งๆที่ทะเบียนบ้านระบุชัดเจนว่า "กรุงเทพมหานคร" หลังหกโมงเย็นไม่ว่าพวกเราจะอยู่ที่ใดก็ตาม เราต้องรีบกลับให้ถึงบ้าน เพราะเมื่ออาทิตย์ลับขอบฟ้า สวนจะมืดและเงียบสงัด มีเพียงแสงจันทร์และดาวระยับที่ให้แสงนวลพอเห็นรำไร ฟังดูเหมือนลำบากลำบน แต่เราก็ค้นพบว่า บ้านเราไม่มีไฟแต่เราไม่เคยเดือดร้อน
เป็นความเงียบที่ไม่เคยเหงา...
นอกจากไม่มีไฟฟ้าแล้ว บ้านสวนของฉันไม่มีน้ำ แต่เราไม่เคยทุกข์ใจ เพราะมีคลองเล็กๆ น้ำใสไหลผ่าน พ่อทำท่าน้ำไว้ริมชายคลอง การอาบน้ำของเรานั้นแสนง่าย แค่หยิบขันใส่สบู่ลงในขัน เดินตัวปลิวไปทีท่าน้ำ และจ้วงอาบจนกว่าจะพอใจ รวมไปถึงการซักผ้า ซึ่งสะดวกสบายไม่แพ้กัน นั่นคือ "น้ำใช้" ที่มีเหลือเฟือ แต่ "น้ำกิน" คือปัญหาหนักที่สุด เราต้องอาศัยน้ำฝนเพียงอย่างเดียว
คราใดโอ่งน้ำกว่าสิบโอ่งเริ่มแห้งขอด ครอบครัวฉันเริ่มกลัดกลุ้ม วันๆ ฉันเฝ้าแต่แหงนหน้าดูก้อนเมฆ รอคอยว่าเมื่อใดเมฆสีเทาจะลอยผ่านมา เมื่อเห็นเมฆดำลอยอ้อยอิ่งนิ่งเนิ่นนาน นั่นหมายถึงก้อนเมฆนั้นคือมิตรปราณี ที่มีของขวัญคือหยาดฝนมามอบให้ ฉันเล็งจนแน่ใจว่าฝนจะต้องตกแน่นอน จึงรีบไปล้างรางน้ำฝน เตรียมโอ่งน้ำให่พร้อมเพื่อรองน้ำ บางครั้งได้เพียงโอ่งเดียว บางคราฟ้าเมตตาฉันได้น้ำฝนเกือบสิบโอ่ง นั่นหมายถึงครอบครัวของฉันจะมีน้ำกินไปได้นานเป็นเดือน
มาบัดนี้ฉันเติบโต...ก้อนเมฆมิตรเก่าแก่ในวัยเยาว์ของฉัน..ไม่ได้เป็นที่ต้องการอีกต่อไป ฉันย้ายจากบ้านสวนมาอยู่ในเมืองหลายสิบปี บ้านฉันมีน้ำมีไฟ..และไม่มีโอ่งน้ำมากมายเหมือนก่อน
แต่ฉันก็ยังรักก้อนเมฆ..ชอบสีหม่นเศร้าของท้องฟ้ายามครึ้มฝน ..ชอบเสียงฝน..ชอบกลิ่นดินที่ระเหยหอมยามฝนตก..ชอบอากาศสดชื่นหลังฟ้าหมาดฝน..และชอบความเงียบเหงาที่ซุกซ่อนอยู่ในหัวใจ..มันเป็นความเศร้าอันแสนสุข..ที่คงมีแต่สายฝนเท่านั้นที่จะเข้าใจ..
paokuntima
28/04/2011
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น