ผมลงไปห้องครัว เปิดไฟและเตรียมทำกาแฟ หาอาหารเช้ารองท้อง...ก่อนออกไปทำงาน
ถ้าหากเป็นเมื่อก่อนผมจะไม่อินังขังขอบเลยกับภาวะฝนตกตอนเช้าๆ วันทำงาน เพราะผมไม่ต้องออกไปทำงาน
ผมยึดบ้านเป็นสถานที่ทำงานในฐานะ "คนรับงานและสร้างงานด้วยตัวเอง" หรือเป็นฟรีแลนซ์มาตั้งแต่ออกจากงานประจำงานสุดท้ายเมื่อกลางปี 2546 รวมความแล้วก็ราวๆ 8 ปีที่ผ่านมา สุขบ้างทุกข์บ้างบนวิถีฟรีแลนซ์ งานน้อยบ้างมากบ้าง ตามประสาของชีวิตที่มีขึ้นมีลง แต่รู้สึกว่าควบคุมดูแลชีวิตของตัวเองได้มากกว่า และที่สำคัญไม่มีการเข้าออกงานเป็นเวลา กับ "เวลา" ที่ได้คืนกลับมาอย่างเหลือเฟือเต็มเม็ดเต็มหน่วยนั่นเองที่เป็นพื้นฐานทรัพยากรสำคัญของคนที่เป็นฟรีแลนซ์ ว่าจะรู้จักนำมาจัดสรรดูแลแบ่งปันให้กับสิ่งใดบ้างในชีวิต
ใช้ในการดูแลตัวเอง...
ใช้ในการออกเดินทางท่องเที่ยว...
ใช้ในการสร้างสรรค์งานที่เราอยากทำ...
ใช้ในการออกไปฝึกฝนหาความรู้หรือประสบการณ์ใหม่ๆ ที่เราอยากเรียนรู้แต่ไม่เคยมีเวลาหรือโอกาสมาก่อน...
มีแต่คนที่เป็นฟรีแลนซ์เท่านั้นแหละครับที่จะตอบตัวเองให้ได้ว่า เมื่อออกจากงานประจำ เงินทองอาจจะร่อยหรอ น้อยลง เข้ากระเป๋าไม่เป็นเวลา แต่กับเวลาที่มีอยู่อย่างเหลือเฟือเราจะจัดสรรอย่างไรให้ "สร้างสรรค์"
พอออกจากงานประจำ ผมก็ปักหลักรับงานเขียนหนังสือที่เรียกว่า " Ghost Writer" รับงานเขียนแทนคนที่อยากจะมีหรืออยากจะออกหนังสือของตัวเอง ออกไปสัมภาษณ์และเรียบเรียง แล้วเอาข้อมูลกลับมาเขียน อาจจะรับงานเป็นบรรณาธิการหนังสือเล่มบ้าง เขียนคอลัมน์ประจำในหนังสือพิมพ์และคอลัมน์ท่องเที่ยวบ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่ผมได้ใช้เวลาที่มีอยู่ลงมือทำก็คือการเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับการที่ตัวเองทำงานแบบฟรีแลนซ์ มีที่มาที่ไปอย่างไร และการเป็นฟรีแลนซ์มีข้อดีข้อเสีย ข้อได้เปรียบในการทำงาน หรือจะต้องมีการเตรียมตัวรับมือสภาพการทำงานในการเป็นฟรีแลนซ์อย่างไร
หนังสือเล่มหนึ่งของผมชื่อ "สร้างชีวิตด้วยแนวคิดไร้ขีดจำกัด" หรือ The Way of Freelance สำเร็จเป็นรูปเป็นร่างและตีพิมพ์ออกมาโดยสำนักพิมพ์บิสซี่เดย์ (http://www.busy-day.com/หนังสือแนะแนวอาชีพ-ธุรกิจ/สร้างชีวิตด้วยแนวคิดไร้ขีดจำกัด.html) เมื่อเดือนตุลาคม 2552 เพื่อถ่ายทอดมุมมอง วิถีคิด การจัดการ ความเปลี่ยนแปลงที่เข้ามาสู่ชีวิต วิถีที่เป็นความใฝ่ฝันของคนทำงานประจำหลายต่อหลายคนในขณะนี้
ปกหนังสือสร้างชีวิตด้วยแนวคิดไร้ขีดจำกัดของผม |
การเป็นฟรีแลนซ์เป็นวิถีของผมและของใครหลายต่อหลายคนที่ได้ตัดสินใจ และยอมรับแล้วซึ่งผลของการ "ตัดสินใจ" และ "ลงมือทำ" ของตัวเอง จะสุขจะทุกข์ เราจะบอกตัวเองว่าเราจะไม่ยืนอยู่บนความลังเลสงสัย ไม่ว่าจะต่อศักยภาพของตัวเองที่เชื่อว่าเราทำอะไรได้บ้างไม่ได้บ้าง หรือความไม่แน่ไม่นอนกับความเป็นไปในอนาคต ซึ่งเป็นความจริงของเราอยู่ ณ ตอนนี้
เพราะคนที่เป็นฟรีแลนซ์ทั้งหลายย่อมรู้ดีว่า ความลังเลใจนั้นไม่เป็นผลดีใดๆ เลยต่อเส้นทางที่ท้าทาย ที่เป็นอยู่เมื่อเทียบกับ "การลงมือทำ" ยอมรับผลของการได้ทำไปแล้วและไปให้ไกลที่สุดดีที่สุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น