วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

...ผ่านเข้ามาสู่ชีวิต

อกหัก รักคุด ตุ๊ดเมิน...


อาการรวมๆ เช่นนี้ เรียกว่าอะไรดี ถ้าไม่ใช่การเสียศูนย์จากความสูญเสีย


ต่อให้มีอวัยวะครบสามสิบสอง เมื่อถึงคราวต้องพานพบเรื่องราวจากการพลัดพรากสูญเสีย เป็นใครก็ใครก็ต้องเกิดอาการไม่มั่นใจ หวั่นใจ กระทั่งสูญเสียใจอย่างใดอย่างหนึ่งไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้วยกันทั้งนั้น ขึ้นกับว่าเรารักอะไรและผูกพันยึดติดกับสิ่งนั้นมากน้อยเพียงใด เข้าทำนองว่ารักมาก ก็ทุกข์มากเจ็บปวดมาก


การเคยมีเคยเป็นหรือครอบครองข้าวของ คนรัก ความรู้สึกดี ความผูกพัน การเป็นเจ้าเข้าเจ้าของสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งครั้งหนึ่งอาจมีความหมาย มีคุณค่ามีราคาต่อความรู้สึกเราอย่างมาก จนไม่เคยนึกหรือไม่อยากจะนึกว่า หากวันหนึ่งของสิ่งนั้นไม่อยู่กับเราอีกต่อไปหรือเราไม่อาจครอบครองสิทธิ์ขาดความเป็นเจ้าของเอาไว้ได้ แล้วเราจะทนอยู่สู้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้อย่างไร


เมื่อสมบัติสิ่งของที่เคยครอบครองเกิดสูญหาย ความรู้สึกดีที่เคยได้รับอยู่ดีๆ เกิดแปรเปลี่ยน หมดไป ไม่เหมือนเดิม นอกจากความเสียใจและโหยหาอยากให้สิ่งนั้นหรือความรู้สึกนั้นกลับมาดังเดิมแม้จะรู้ว่าการรอคอยนั้นมีความหมายเท่ากับความหวังอันว่างเปล่าแล้ว เราควรเรียนรู้อะไรจากการพลัดพราก นอกเสียจากพุทธพจน์ที่ว่า "ความพลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นทุกข์" แค่นั้น


มองในอีกมุมหนึ่งจากความสูญเสียที่ผ่านเข้ามาได้หรือไม่ว่า ความรู้สึกดีๆ ความรัก ความผูกพัน การเป็นเจ้าของหรือสิ่งของที่เคยเป็นของเรา ครั้งหนึ่งก็เคยอยู่กับเรา เคยเป็นของเรา เป็นความทรงจำที่มีต่อกัน และความรู้สึกที่ดีที่งดงามซึ่งผ่านเข้ามาสู่ชีวิตของเรา ให้บทเรียนและการเรียนรู้ว่าโลกนี้แม้จะไม่มีอะไรที่แน่นอนและอยู่กับเราได้ยาวนานก็จริง แต่ครั้งหนึ่งได้เกิดขึ้นและผ่านเข้ามาสู่ชีวิต ครั้งหนึ่งเคยอยู่กับเรา เคยเป็นของเรา ครั้งหนึ่งเคยมีความรู้สึกดีๆ มอบไว้ให้แก่กัน...


แทนที่จะหมดหวังและสูญสิ้นเวลาไปกับการโหยหา เลิกคร่ำครวญกับการรอคอย แต่ยิ้มให้กับความรู้สึกดีๆ ที่หลงเหลือเป็นเค้ารอยอยู่ในจิตใจ เป็นความทรงจำดีๆ ของสิ่งที่ผ่านมาสู่ชีวิต เพื่อที่จะปลอบตัวเองเบาๆ เหมือนเวลาที่คนเขาชอบพูดกันว่า อกหักดีกว่ารักไม่เป็น ...



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น