ขอเพียงเรามีสติที่จะคอยสังเกตสังกาความรู้สึกและความเป็นไปของตัวเองให้ดี ว่าตอนไหนบ้างที่เรา "ไม่สนุก" กับชีวิตรอบๆ ตัวที่กำลังเคลื่อนไหว และรู้สึกเหมือนแบตเตอรี่ในร่างกายกำลังจะหมด ทุกอย่างดูน่าเบื่อ เหนื่อยหน่ายและช้าลงๆ ทุกขณะ ตอนนั้นน่าจะเป็นสัญญาณที่ดีที่เราจะบอกกับตัวเองว่าถึงเวลาที่จะซ่อมบำรุงส่วนที่สึกหรอทางจิตใจโดยด่วน
แต่ส่วนมากแล้ว เวลาที่คนเรากำลังเบื่อหน่ายกับชีวิต สติปัญญาและกำลังใจกลับเป็นสิ่งที่ขาดหายไปก่อน ซ้ำยังเรียกหาอย่างไรก็เหมือนกู่ไม่กลับและไม่หลงเหลืออยู่ บ่อยครั้งคนเราจึงขาดสติและปล่อยตัวเองเลื่อนลอยไปกับโมงยามที่น่าเบื่อทีละเล็กทีละน้อย จนในที่สุดก็คล้ายจมอยู่ในบ่วงหรือห่วงของความทุกข์ทน โลกไม่น่าอยู่ ผู้คนไม่น่ารัก การงานไม่น่าทำ ชีวิตไม่สนุก กระทั่งถึงขนาดว่าไม่น่าจะมีลมหายใจอยู่ต่อไป
แท้จริงแล้วจริงหรือที่โลกเลวร้าย ผู้คนที่เราแคร์และรักไม่สนใจหรือไม่ได้ดังใจ แม้แต่คนอื่นที่เราปฏิสัมพันธ์ด้วยจะสามารถกระทำย่ำยีเราอย่างประสงค์ร้าย จนพลอยให้ใจแห้งเหี่ยวราวกับต้นไม้ขาดปุ๋ย ความจริงน่าจะเป็นที่ "ตัวเรา" กับความคาดหวัง ความเข้าใจและความไม่พอใจใน "ความสุข" ที่มีอยู่ ที่ไม่พอดีกันมากกว่า
เมื่อเราหมั่นรดน้ำพรวนดิน บำรุงด้วยปุ๋ย หยิบแมลงศัตรูพืชและหนอนออกจากต้นไม้ดอกไม้ในสวนที่บ้านทิ้งออกไป ด้วยหวังว่าต้นไม้ทั้งหลายจะผลิดอกออกใบเป็นความสวยงามร่มรื่นให้ชื่นชมได้ แล้วทำไมเราจะไม่เหลียวแลความรู้สึกและหมั่นขัดเกลา รดน้ำพรวนดิน ใส่ปุ๋ยบำรุงให้ร่างกายและจิตใจเราเข้มแข็ง หัวใจของเราก็จะได้ไม่แห้งเหี่ยวเฉา ต่อให้สรรพสิ่งจะไม่เคลื่อนไหวไปในทิศทางตามที่ใจเราต้องการหรืออยากจะให้เป็นไปตลอดเวลา เพราะสิ่งต่างๆ นั้นย่อมอยู่เหนือการควบคุมของตัวเรา แม้กระทั่งความสุขความทุกข์ในตัวเราเองก็ยากที่จะกำหนดได้เอง
เติมความสุขทีละเม็ดทีละเกล็ดลงในชีวิตเหมือนเราค่อยๆ หย่อนปุ๋ยลงในเนื้อดินของจิตใจและอย่าปล่อยให้ผืนดินของใจเราแห้งผาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น