วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ที่อยู่ของดวงดาว

เมื่อคืน แม้โดยไม่ต้องเปิดประตูหรือหน้าต่างบ้านออกไปภายนอก ไม่ได้เงยหน้าเหลียวมองท้องฟ้า ผมก็ได้เห็น 'ดาว'


ดาวที่ผมว่าและได้เห็นนั้นไม่ได้อยู่ห่างไกลบนเวิ้งฟ้ากว้างให้เราใช้สายตาฝ่าแสงไฟมองหายากเย็น แต่เป็นดาวที่เปล่งประกายฉายแสงอยู่บนเวทีและในจอโทรทัศน์ กระโดดโลดเต้น สร้างสีสันความสนใจด้วยการร้องการเต้นให้คนที่อยู่ข้างนอกได้เห็น ราวกับดาวดวงนั้นกำลังส่งสายตาปรามเราว่าเธอเป็นได้แค่เพียงคนข้างล่างที่คอยจ้องมองดาวบนพื้นราบเท่านั้น


จากช่วงเวลาหนึ่งของวัน (แม้จะไม่ใช่ยามค่ำคืน) ที่ได้ติดตามความเป็นไปของบรรดาผู้ที่อยากเป็นดาวในรายการ Thailand's Got Talent และการประกวดรอบสุดท้ายของเดอะสตาร์ 7 ผมเกิดความรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ


ตำแหน่งของดาวที่อยู่สูงขึ้นไปบนฟ้า ความสวยงามวับวาวในยามค่ำคืนที่กะลาสีและคนเดินทางใช้แสงสว่างของดวงดาวไว้คอยนำทาง ความสวยงามเปี่ยมด้วยความหวังของดวงดาวกะพริบพร่างพรายยามที่คนเรากำลังอ่อนไร้สิ้นกำลังใจได้เห็น ทำให้ที่อยู่ของดวงดาวไม่ได้อยู่บนท้องฟ้าในยามค่ำคืนเท่านั้น แต่กลายมาเป็นสายตาและในใจของคน ทำให้เกิดความหวัง แรงบันดาลใจ ดลดาลให้เกิดการสร้างสรรค์ และแม้แต่แทนความหมายของการต่อสู้ดิ้นรนค้นหาพิชิตสิ่งที่มุ่งหวัง


ผมไม่รู้ว่าใครเป็นคนแรกที่ริเริ่มเรียกขานบรรดาผู้คนในแวดวงนักแสดง นักร้องว่า "ดารา" หรือ "ดาว" และก็ช่างบังเอิญที่ในภาษาอังกฤษก็ใช้คำคำเดียวกันคือคำว่า "สตาร์" (star) เพื่อเรียกคนที่โดดเด่นในแวดวงต่างๆ ทั้งวงการแสดง กีฬาหรือแม้แต่กระทั่งการเมือง ไม่ว่าใครก็ตามที่มีรังสีออร่าโดดเด่นเป็นที่จับตามองก็จะได้รับการเรียกขานว่าเป็นดาวได้เช่นกัน ดังคำว่า "ดาวดวงใหม่"


ในแวดวงมายาของเรานั้น มีการต่อสู้แข่งขันกันมากมายเพื่อจะเบียดยื้อแย่งชิงกันเข้ามาเป็นดาว เหมือนคำร้องของบทเพลง "เพื่อดาวดวงนั้น" ที่เป็นเพลงหลักประจำรายการเดอะ สตาร์ มีเนื้อท่อนหนึ่งว่า


 ...เพื่อดาวดวงนั้นที่ฝันที่อยากเป็น เพื่อดาวดวงนั้นและฝันคงไม่ไกล
เพื่อดาวดวงนั้นต้องสู้จนสุดใจ จะเป็นดาวดวงหนึ่งบนฟากฟ้า
เพื่อดาวดวงนั้นแม้ฉันต้องฝ่าฟัน เพื่อดาวดวงนั้นฉันจะทำให้เหนือกว่า
เพื่อดาวดวงนั้นฉันพร้อมจะไขว่คว้า และจะทำให้โลกได้รับรู้ฉันจะเป็นดาว...

"ตูมตาม" เด็กหนุ่มจากอีสานผู้ชนะในรายการเดอะสตาร์7
นอกจากเพลงนี้แล้วยังมีบทเพลงอื่นๆ อีกมากที่ได้เห็นว่า ดาวคือแรงบันดาลใจในการเขียนเพลงเพื่อเปรียบเปรยถึงความหวังที่อยู่สูงสุดเอื้อม คือสายตาที่ห่วงหาที่มองกลับลงมาถึงคนเปลี่ยวเหงา คือเรื่องราวของการตะเกียกตะกายป่ายปีน เช่น เพลงแสงดาวแห่งศรัทธา เพลงคืนที่ดาวเต็มฟ้า หรือเพลงตะกายดาว


...สูงส่ง ยากจะเอื้อมถึงและได้มา แต่ที่ยากที่สุดคือรักษาการล่องลอยอยู่ฟากฟ้าสูง สร้างสรรค์ผลงานให้โดดเด่นจนคล้ายมีรัศมีเปล่งประกายที่คนจะยอมรับและให้คุณค่า มีระยะห่างอย่างเดียวดายอย่างไรให้ยาวนานและยั่งยืน ดุจคำเปรียบเปรยว่า "ดาวค้างฟ้า" ล้วนเป็นเรื่องราวและบทเรียนของผู้ที่อยากตะกายดาวเพื่อเข้ามาเป็นดาวทุกคนต้องลงมือลงแรงค้นหาและตอบตัวเองให้ได้


ความที่อยากจะเป็นดาวมากบางคนถึงยอมทำอะไรแปลกๆ หรือต่อสู้ฟาดฟันโดยมีตำแหน่งได้เป็นดาวเป็นสิ่งเดิมพัน แต่หากไม่สนใจบทเรียน มิตรภาพหรือสิ่งอื่นใดคงเป็นคล้ายกับคนที่เดินไปข้างหน้าที่เอาแต่เงยหน้ามองฟ้าสูงอยู่ตลอดเวลา จนหลงลืมไปว่ามีความเป็นจริงอีกมากตรงหน้าให้ต้องลงมือทำ


และหลงลืมสิ่งหนึ่งซึ่งสำคัญไม่น้อย นั่นคือ เราทุกคนสามารถเป็นได้ดีที่่สุด...คือการเป็นดาวหรือเป็นตัวเอกในชีวิตของตัวเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น