วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Name it as desire

ภาพประกอบ (รูปผมเอง)โดย "น้อยหน่า"
ผมชื่อเข้าโรงเรียนว่า "อิทธิฤทธิ์" ครับ...


ชื่อจริงผมออกจะแปลกๆ ให้ความหมายไปในทางอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์พอให้หลายคนทายทักขำๆ หรือเอามาพูดล้อเล่น (โดยเฉพาะตอนที่ยังเด็กๆ) แต่ผมไม่มีปมกับชื่อจริงของตัวเองจนคิดว่าอยากจะเปลี่ยนชื่อ


เรื่องที่ผมรู้สึกน้อยใจและแตกต่างจากเด็กๆ รุ่นเดียวกันก็คือ "ชื่อเล่น" ของตัวเองต่างหาก เพราะว่าพี่ๆ ผมเกือบจะทุกคน มีชื่อเล่นที่แตกต่างจากชื่อจริง (หรือชื่อเข้าโรงเรียน) กันทั้งนั้น ยกเว้นพี่ชายคนที่โตกว่าผม ทำให้ตอนเด็กๆ ผมอยากจะมีชื่อเล่นที่ไม่ใช่ชื่อที่เรียกเอาจากชื่อจริงบ้าง เพราะที่บ้านและเพื่อนๆ แถวบ้านผมตอนเด็กๆ จะเรียกชื่อเล่นผมว่า "ฤทธิ์" มากกว่า ซึ่งยอมรับว่าไม่ใช่ชื่อเล่นที่ีผมจะรู้สึก proud หรืออยากจะชื่อนี้เลย


ผมจำได้ว่าผมเคยนึกถึงการตั้งชื่อเล่นให้ตัวเองให้คล้องจองกับชื่อเล่นของพวกพี่ๆ แต่นึกเท่าไรก็ไม่ได้ชื่อที่เหมาะและชอบสักที


โตขนาดเข้าเรียนมัธยมฯ ได้ เพื่อนๆ ที่เพิ่งเจอกันที่โรงเรียนใหม่ทำความรู้จักถามไถ่กันว่านายชื่อเล่นอะไร ผมเองก็ไม่อยากจะให้เพื่อนเรียกชื่อเล่นเดียวกับที่บ้าน ก็เลยบอกว่าไม่มีชื่อเล่น เรียกชื่อเต็มไปเลยก็ได้ เพื่อนๆ กลับถนัดปากที่จะเรียก "อิท" มากกว่า "ฤทธิ์"


ผมก็เลยเป็นไอ้ "อิท" สำหรับเพื่อนๆ ตั้งแต่นั้นมา และยังเป็นไอ้ "ฤทธิ์" ของญาติๆ พี่น้องต่อไป


เรื่องของชื่อเสียงเรียงนามและการเรียกขานของคนเราเป็นเรื่องที่น่าสนใจและน่าแปลกใจ เพราะผมเองมีหลานๆ ที่มีชื่อจริงตอนเด็กๆ ชื่อหนึ่ง พอโตขึ้นมา โดนหมอดูทายทักหรือคิดอยากจะเปลี่ยนโชคชะตาราศีให้กับตัวเอง พวกเขาก็ไม่รอช้าที่จะเดินไปเปลี่ยนชื่อจริงกันที่อำเภออย่างง่ายดาย ไม่ใช่แค่หลานๆ ของผมแค่นั้นหรอกครับ ยังมีเพื่อนๆ คนอื่นๆ ทั้งเพื่อนผมเพื่อนคุณ ที่รับรองว่าแค่เหลียวมองก็ต้องพบเพื่อนสักคนที่เคยเปลี่ยนชื่อจริงเสริมดวงให้รับชะตาราศีใหม่มาแล้ว


ตอนที่ผมยังเรียนหนังสือชั้นมัธยมฯ อยู่นั้น ผมมีเพื่อนต่างห้องที่ไม่เคยพูดจากันเลย แต่โดยสารรถกลับจากโรงเรียนพร้อมกับเขาเกือบจะทุกเย็น เลยทำให้ได้เห็นชื่อที่ปักไว้บนเสื้อเขาเขียนไว้ว่า "วัยรุ่น กฐินเทศ" ก็ให้นึกแปลกใจและสงสัยอยู่ว่าทำไมนายคนนี้ถึงได้ถูกพ่อแม่หรือญาติตั้งชื่อว่า "วัยรุ่น" แล้วถ้าวันหนึ่งเขาโตขึ้นเป็นนาย  หรือเป็นอาเป็นลุงที่มีชื่อจริงว่า "วัยรุ่น" แล้วจะชวนให้สับสนเพียงใด


ผมยังมีเพื่อนที่เรียนมหาวิทยาลัยรุ่นเดียวกันที่ชื่อแปลกๆ น่ารักๆ สุดขั้วโลก เพื่อนสาวคนนี้ชื่อว่า "ลักษ์โตเย่น" ซึ่งพอใครก็ตามได้ยินได้เห็นชื่อเพื่อนคนนี้ก็ต้องนึกถึงนมผงเด็กสมัยก่อนยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งที่มาของชื่อเพื่อนเองก็เป็นเช่นนั้น เพราะเธอเล่าว่าพยาบาลจดชื่อนมผงเด็กให้พ่อใส่รวมเอาไว้ในกระเป๋าเสื้อที่มีกระดาษจดชื่อลูกสาวแรกคลอดเตรียมแวะไปแจ้งเกิดที่อำเภอ ไม่รู้อะไรเล่นตลกให้พ่อแวะไปที่อำเภอก่อน แล้วหยิบกระดาษจดชื่อยี่ห้อนมผง "แลคโตเย่น" มาแจ้งต่อนายทะเบียนโดยนึกว่าเป็นชื่อที่จะตั้งของลูกสาว 


ทุกวันนี้เพื่อนของผมคนนี้ก็ยังใช้ชื่อนี้อยู่โดยไม่เปลี่ยน และทำให้ใครๆ ที่ได้ยินชื่อของเธอ ก็อยากจะรู้จักเธอและที่มาของชื่อนี้ทั้งนั้น


ธรรมเนียมการให้ชื่อคนและเรียกขานสิ่งของที่รักที่ชอบกลายมาเป็นเรื่องที่สำคัญและน่าสนใจต่อชีวิตของคนเรา หลายคนตั้งชื่อเล่นหรือชื่อเรียกขานให้กับข้าวของที่รักที่ชอบ ตั้งแต่ชื่อสัตว์เลี้ยง รถ ตู้ตั่งเตียง ผมเองก็ชอบที่จะให้ชื่อสิ่งต่างๆ ทั้งคอมพิวเตอร์ (ผมเคยเรียกคอมพ์ตั้งโต๊ะผมว่า "โบฟา") ต้นไม้ (ล่าสุดต้นกวักมรกตข้างล่างถูกผมเรียกว่าต้น "อุ๊" ตามชื่อน้องที่ให้ต้นนี้มา) รถแจ๊ซสีดำของเราเรียกกันว่า "ต้อยตีวิด" เพราะว่าคันเก่าก่อนหน้านี้ชื่อว่า "ต้อยติ่ง" และเคยมีหมาสีดำที่เรียกว่าเจ้า "ซีอิ๊ว"


ผมเขียนเส้นภาพซีอิ๊วเล่นๆ บนเศษกระดาษ
ไม่ว่าสิ่งนั้นหรือใครคนใดจะชื่ออะไรก็ตาม ชื่อที่เรียกขานอาจจะบ่งบอกลักษณะได้บางส่วนเสี้ยวเพียงแค่นั้น ไม่ว่าเราเองจะชอบหรือรู้สึกชื่อนั้นใช่สำหรับเราเองหรือไม่ แต่ทุกคนรู้ดีว่าคุณภาพหรือเนื้อในของความเป็นคนว่าจะดีมีค่าหรือมีคุณภาพเพียงใดนั้น ไม่สามารถรู้ได้จากชื่อที่ปักไว้บนเสื้อนักเรียนหรือยี่ห้อที่พะไว้ให้เรียกตามชื่อเท่านั้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น