วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

แรงโน้มถ่วงของ "รัก"

 หากแรงโน้มถ่วงของโลก คือแรงเดียวที่ยึดเหนี่ยวเราทุกคนไว้กับพื้นโลก แรงโน้มถ่วงของรักก็คือแรงเดียวที่ยึดเหนี่ยวคนสองคนไว้ด้วยกัน
 หากแรงโน้มถ่วงนั้นพอประมาณ รักษาช่องว่างระหว่างกัน รักก็ยิ่งยืนนานมั่นคง แต่หากโน้มถ่วงมากจนล้นเกิน มีแต่ความคาดหวังกันและกันตลอดเวลา นั่นย่อมหมายถึงทุกข์ท้อทรมานไม่สิ้นสุด
  ฉันเคยรับโทรศัพท์กลางดึกจากเพื่อนที่เพิ่งแต่งงานไปไม่กี่เดือน เธอทำเสียงกลัดกลุ้มเล่าให้ฟังว่า " ฉันเพิ่งรู้ว่าสามีฉันเป็นคนไม่มีระเบียบ" ฉันเงี่ยหูฟังและคิดภาพสามีของเธอที่หน้าตาแสนจะเรียบร้อย
"ทำไมล่ะ"
"เธอรู้ไหม เขาใช้น้ำปลา ใช้ซีอิ๊ว และไม่เคยกดปิดจุกขวดเลย" เธอทำเสียงเครียด แต่ฉันผู้ไม่ใช่ดีเจพี่อ้อยและดีเจพี่ฉอด จึงไม่ทำเสียงปลอบประโลมเห็นอกเห็นใจแต่อย่างใด
"เธอจะบ้าเหรอ แค่ปิดขวดน้ำปลา เรื่องเล็กจะตาย(ห่า)" ฉันหัวเราะเสียงดัง
"แม่เขาก็ไม่มีระเบียบ" เธอยังสาธยายต่อ
"ทำไม แม่เขาก็ไม่กดปิดขวดน้ำปลาเหรอ" ฉันยิงมุขหวังเรียกเสียงฮา
"ใช่ แม่เขาก็ไม่เคยกดปิดขวดน้ำปลาเหมือนกัน ช่างเหมือนกันทั้งแม่และลูกเลย" ฉันเริ่มขำไม่ออก นอกจากไม่ขำแล้วเรื่องราวเริ่มเครียดขึ้นเรื่อยๆ
"ช่างมันเหอะ เธอก็เตือนเขาไปว่าอย่าลืมกดปิดขวดน้ำปลา ถ้าเขาลืมเธอก็ปิดซะเอง ใช้เวลาไม่กี่วินาทีเอง เรื่องก็จบแล้ว อย่าเก็บมาคิดมากเลย เรื่องดีๆ เขามีตั้งเยอะแยะ" เธอนิ่งเงียบไปและเริ่มคิดได้
   เรื่องราวนี้ผ่านมาหลายสิบปี ปัจจุบันเพื่อนของฉันยังคงครองรักอย่างมีความสุขกับชายผู้ไม่เคยปิดขวดน้ำปลานี้ต่อไป แรงโน้มถ่วงของรักระหว่างคนสองคนนี้ยังคงสมดุลและมั่นคง โดยขวดน้ำปลาไม่อาจทำลายลงได้
  เรื่องต่อไปเป็นตัวอย่างแรงโน้มถ่วงของรักที่มากเกินไป ฉันจำเรื่องนี้ได้ไม่ละเอียดนัก พยายามค้นตู้หนังสือที่บ้านก็หาต้นตอเรื่องไม่เจอ แต่พอจำเรื่องได้คร่าวๆว่า มีสามีภรรยาคู่หนึ่งที่รักกันมาก เมื่อภรรยาตั้งท้องกำลังจะคลอดลูก สามีก็ถูกเกณฑ์ทหาร ทั้งสองคนต่างให้คำสัญญาว่าจะรักกันตลอดไปไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ภรรยาบอกว่าไม่ว่าจะต้องรอคอยสามีนานแค่ไหน เธอก็จะรักและรอคอยเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น
  เมื่อสามีจากไปเป็นทหาร เธอก็คลอดลูก เธอเลี้ยงลูกเพียงลำพังด้วยความยากลำบาก เมื่อลูกโตขึ้น เขาเห็นคนอื่นมีพ่อ เขาจึงมักรบเร้าถามถึงพ่อตัวเองอยู่เสมอ เธอไม่รู้จะทำอย่างไรจึงบอกว่า "คืนนี้แหละพ่อจะมาหาลูก" พอตกกลางคืนเธอก็จุดตะเกียงไว้ด้านหลังตัวเธอ แสงตะเกียงส่องมาที่เธอทำให้เกิดภาพเงาที่ตกกระทบบนผนังเป็นร่างดำใหญ่โต เธอบอกลูกว่า "นั่นไงพ่อของลูกมาแล้ว" ลูกมองเงาบนผนังด้วยความดีใจ "ลูกคุยกับพ่อซิจ๊ะ" เด็กน้อยยิ้มอย่างยินดี และคุยกับเงานั้นทุกวันอย่างมีความสุข โดยมีแม่ทำเสียงต่ำๆ คุยกับลูกแทนเสียงพ่อ
 เหตุการณ์ผ่านไปหลายปี ในที่สุดสามีก็กลับมาบ้าน เขาคิดถึงภรรยาอย่างสุดหัวใจ วันนั้นภรรยาไม่อยู่บ้านออกไปทำธุระข้างนอก เขาพบลูกชายตัวเอง จึงตรงรี่เข้าสวมกอด "พ่อกลับมาแล้ว คิดถึงพ่อหรือเปล่า" เด็กน้อยทำท่างุนงง
"คุณไม่ใช่พ่อผม พ่อผมมาหาผมตอนกลางคืนทุกคืน" เขาคลายอ้อมกอดลง ความโกรธพุ่งถึงขีดสุด เมื่อภรรยากลับมาเห็นสามี เธอน้ำตาร่วงพรูโผเข้ากอดเขาด้วยความคิดถึงและแสนจะยินดี เขากลับผลักร่างเธออย่างเกลียดชัง ภรรยารู้สึกเสียใจอย่างที่สุด ทั้งสองคนไม่มีใครยอมพูดคุยกัน หัวใจต่างแตกสลายด้วยความผิดหวัง
 เย็นวันนั้นเธอจึงตัดสินใจโดดน้ำตาย..จบชีวิตรักอันแสนโศกเศร้า..ในคืนงานศพสามียังไม่หายโกรธเกลียดภรรยา ลูกชายยังคงร้องไห้ไม่หยุด เมื่อกลับไปถึงบ้านตอนดึก
"ไหนล่ะ พ่อเธอ เขามาหาทุกคืนไม่ใช่เหรอ ฉันอยากเจอมันจริงๆ" เขาถามลูกชายด้วยเสียงชิงชัง "เดี๋ยวพ่อก็มา" เด็กชายสะอึกสะอื้นหลังจากรอคอยอยู่นาน ก็ไม่เห็นมีใครมาสักคน
"มันคงไม่กล้ามาสู้หน้าฉัน เอาล่ะ นอนได้แล้ว" เขาจึงจุดตะเกียงขึ้น ภาพเงาสีดำตกกระทบบนกำแพง เด็กน้อยยิ้มทั้งน้ำตาชี้ไปที่เงาแล้วพูดขึ้น "นั่นไง พ่อผมมาแล้ว พ่อมาแล้ว" เขาทรุดลงกับพื้นและร้องไห้ด้วยความเสียใจอย่างที่สุด
  ฉันไม่รู้ว่าระหว่าง "รักมากเกินไป" กับ "รักน้อยเกินไป" อย่างไหนจะสุขหรือทุกข์มากกว่ากัน แต่ดีที่สุดก็คือ อย่าปล่อยแรงโน้มถ่วงของรัก "รักแต่ตัวเอง" แต่ ไม่รู้จัก "รักใคร"

Paokuntima
6/05/2011

 



2 ความคิดเห็น:

  1. ตอนจบนางเองตายซะงั้น?
    เศร้าจัง
    ชอบที่ว่า""รักมากเกินไป" กับ "รักน้อยเกินไป""

    ตอบลบ
  2. สงสารนางเอกเหมือนกันค่ะ แต่ทำไงได้ เนื้อเรื่องมันเป็นเช่นนั้น ขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ ^ ^

    ตอบลบ