วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2554

สิ่งที่เราหลงลืม

เช้าวันนี้คุณรับประทานอาหารกับใครและรับประทานอะไรครับ?

ความทรงจำของคนเราเป็นเรื่องประหลาด ผมเคยฟังดีเจวิทยุพูดในรายการให้ฟังว่าเวลาที่คนเรามีความสุขสนุกสนานดี ประสิทธิภาพการจดจำของคนเรากลับทำงานอย่างกะพร่องกะแพร่ง ขณะที่เมื่อเจ็บปวดร้าวลึกอยู่ละก็ ร่างกายและจิตใจของเราก็จะสั่งการให้สมองทำงานด้านการจดจำได้เสียดิบดีและเก็บความทรงจำที่เจ็บปวดเอาไว้ได้นาน

แล้วเย็นเมื่อวานนี้คุณรับประทานอาหารเย็นอะไร...และกับใคร?

.........................................
เวลาที่เราหยุดนิ่งๆ สิ่งที่ไม่ค่อยหยุดนิ่งๆ อยู่กับที่กับเราเลยก็คือ "ความคิด"

ความคิดล่องลอยเหมือนก้อนเมฆบนท้องฟ้า บางทีมีเมฆก้อนน้อย บางทีก็เป็นเมฆก้อนใหญ่ๆ เท่าบ้าน บางทีเมฆน้อย บางทีเมฆก็ลอยเกลื่อนฟ้า ไม่เคยมีสักเวลาที่คนเราไม่มีความคิด เหมือนท้องฟ้าที่ยากจะหาคราที่ปลอดจากก้อนเมฆโดยสิ้นเชิง (เราจึงมักจะชอบวันที่ฟ้าใส มองเห็นฟ้าเต็มท้องฟ้าเป็นสีฟ้า มากกว่าเวลาที่ฟ้าขุ่นมัวด้วยหมู่เมฆ)

ช่วงนี้ผมสังเกตว่าคนเราหยุดนิ่งๆ เพื่อ "อยู่กับตัวเอง" กันไม่ค่อยเป็นหรืออาจเป็นได้ว่าไม่ค่อยจะมีความสุขกับการอยู่นิ่งๆ กับตัวเองกันแล้ว สังคมเราเป็นอะไรกันไปแล้ว คนเราหลงลืมอะไรกันไปแล้ว

ประจักษ์พยานที่เด่นชัดในการที่ผมรู้สึกว่าคนเราหลงลืมการอยู่นิ่ง เพื่อที่จะสุขและรับรู้สรรพสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นความรัก ความสุข ความสนุก ยิ้มหัวหรือทุกข์เศร้าของเราเองและสิ่งต่างๆ ที่รายล้อมตัวเราอยู่ก็คือ เวลาที่คนเราหยุดนิ่งๆ อยู่กับที่เมื่อไร เป็นต้องเอาโทรศัพท์ (หรือที่เราเรียกว่า "สมาร์ทโฟน" หรือโทรฯ ฉลาด แต่คนใช้อาจจะเขลาลง) มากดๆ ก้มหน้าก้มตาดูหน้าจอหรือใส่หูฟังเลื่อนลอย...
.........................................

เมื่อวานนี้ผมทักทายรุ่นพี่ที่สนิทกันคนหนึ่งซึ่งบังเอิญเห็นว่ารุ่นพี่คนนี้มีแอคเค้าท์เฟซบุ๊คอยู่ด้วย (ทั้งๆ ที่รู้ว่าพี่คนนี้ชอบหนังสือและการสื่อสารแบบช้าๆ หรือ Snail mail มากกว่า จากการที่เมื่อก่อนเราสื่อสารกันทางไปรษณียบัตรบ่อยๆ) ด้วยการเขียนทักทายไปว่า "ดีใจที่ได้เจอกันในอีกช่องทางการสื่อสารหนึ่ง" ไม่คาดคิดว่าพอไม่นานก็มีการโพสต์ตอบกลับมาว่า "ดีใจที่ได้เจอเช่นกัน...ยินดีที่พบกันกลางอากาศ"

คำว่า "พบกันกลางอากาศ" เป็นคำทักทายสั้นๆ ที่ทำให้ผมสะดุดหยุดคิดได้ด้วยเหมือนกัน

นานเพียงใดแล้วที่ผมเองไม่ค่อยได้ส่งจดหมายหรือส่งไปรษณียบัตรเพื่อเขียนถึงทักทายถามข่าวญาติมิตร ทั้งๆ ที่เป็นกิจกรรมที่ผมเคยชอบและสนุกที่จะทำ เวลาที่มีน้อยลงกระนั้นหรือ หรือว่ารสนิยมในการสื่อสารปัจจุบันนี้ทำให้เรา "พบกันในความว่างเปล่า" กลางอากาศ ในช่องทางใหม่ๆ ที่แค่ก้มหน้าลงมองไปที่จอมือถือ ก็เหมือนได้พูดได้คุยกับเพื่อนๆ ญาติมิตร...ในความว่างเปล่า
.........................................
คำว่า "คุยกัน พบหน้า ไปหา และคิดถึง" สิ่งเหล่านี้ ต้องการ "ความจริง" และ "ความตั้งใจ" พอสมควร ไม่เหมือนโลกเสมือนที่เนรมิตตัวตน รูปร่าง ความคิด กระทั่งความรู้สึกเสมือนของเราและของเขาขึ้นมา ผ่านหน้าจอแอลซีดี จอแบบสัมผัส กล้องแบบ FaceTime ที่มองเห็นหน้ากันแบบ Real Time หรือโปรแกรมแชตสารพัด กระทั่ง BB

ในวันที่ผมออกจากบ้านและใช้บริการขนส่งสาธารณะอย่างรถไฟฟ้าใต้ดินนั้น เป็นช่วงเวลาที่ผมเองมักจะมองเห็นผู้คนหยิบสมาร์ทโฟนและบีบีของพวกเขาออกมากดๆๆๆ ใช้ๆๆๆ ก้มมองและพูดคุยอย่างจริงจัง เคยกระทั่งว่าเห็นหนุ่มสาวที่มาด้วยกันหันหน้าเข้าหาต่างหันหน้าเข้าหากันโดยมีโทรศัพท์มือถือกันคนละเครื่องและต่างก็ก้มหน้าก้มตาอยู่กับหน้าจอของตัวเอง

ในบางวันที่ผมเดินอยู่ข้างฟุตบาท ผมมักจะเตือนตัวเองให้เหลียวมองดูท้องฟ้า ดูดอกไม้ดอกเล็กๆ ที่บานงอกอยู่ตามซอกแตกของตึกริมถนน เตือนว่าจะไม่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหรือพูดคุยโดยไม่จำเป็น เพราะจะทำให้สติสตังของเราไม่อยู่กับตัว พลอยจะเดินตกขอบถนน เกิดชนผู้ชนคนขึ้นมาจะดูไม่งาม

และด้วยการที่เงยหน้าขึ้นดูความจริงและอยู่กับความรู้สึกตัวเองโดยไม่หลงลืมนั้นทำให้ผมมีโอกาสเห็นหนุ่มสาวเกี่ยวก้อยเดินจูงมือกัน หรือบางคู่หยุดพูดคุยยิ้มหัวกันดูมีความสุข

ผมสังเกตว่าในมือของคนทั้งคู่ ไม่ว่าคู่ไหนๆ ที่เกี่ยวก้อยและหยุดพูดคุยยิ้มให้กันนั้น ไม่มี "มือถือ" อยู่เลยสักคน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น