วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2554

ในลิ้นชัก


หลังจากเขียนบล็อกติดต่อกันได้ 10 วัน เมื่อเช้านี้ฉันบอกอิทว่า วันนี้คงไม่ได้เขียนบล็อกนะ เพราะไม่มีอะไรในหัวเลย อิทพูดเล่นๆ ว่าให้ส่งใบลาด้วย

ฉันลองคิดทบทวนว่ามีเรื่องใดเก็บกักไว้ พอจะเอามาคิดต่อแล้วเขียนเล่าสู่กันอ่านได้บ้าง เพื่อยึดนโยบายตามแบบพี่บอย โกสิยพงษ์ที่แต่งเพลงทุกวัน
หลังจากคุ้ยลิ้นชักในหัวเสียกระเจิดกระเจิงก็พบว่า คลังสมองของฉันช่างน้อยเสียนี่กระไร
....................

ตอนขึ้นปี 3 นิเทศศาสตร์ เป็นปีที่นิสิตจะต้องเลือกวิชาเมเจอร์ ฉันสองจิตสองใจระหว่างเอกวิทยุโทรทัศน์ กับเอกหนังสือพิมพ์ แต่ในที่สุดก็เลือกหนังสือพิมพ์ เพราะเพื่อนร่วมชั้นปีเฮละโลเลือกเมเจอร์วิทยุโทรทัศน์เยอะมาก จนอาจารย์บอกว่าไปเลือกเรียนภาคอื่นบ้างเถ้อะ เครื่องไม้เครื่องมือมีจำกัด ไม่อยากให้แย่งกันเรียน ฉันจึงตัดสินใจเลือกเมเจอร์หนังสือพิมพ์

เพื่อนร่วมภาควิชาหนังสือพิมพ์มีด้วยกัน 13 คน เรียนกันอย่างอบอุ่น ครื้นเครง และง่วงเหงาหาวนอนเป็นบางวิชา รุ่นเราเป็นรุ่นแรกที่มีคอมพิวเตอร์แมคอินทอชให้ใช้จัดอาร์ตเวิร์ค เป็นแมคยุคแรกหน้าจอเล็กจิ๋ว ใช้กันไม่ค่อยจะเป็น โดนมันด่า error error ตลอด กว่าจะทำหนังสือพิมพ์เสร็จออกมาซักฉบับ เขียนข่าว จัดหน้ากันจนตาโบ๋ แต่พอพิมพ์เสร็จออกมาเป็นรูปเล่มให้จับต้องก็ชื่นใจ  

จำได้ว่าเคยพูดเพ้อเจ้อกับอาจารย์ท่านหนึ่งประมาณว่า งานหนังสือพิมพ์เป็นเหมือนบันทึกประวัติศาสตร์เลยนะอาจารย์ ถ้าหากวันใดวันหนึ่งโลกแตกไป แล้วอีกหลายร้อยปีถัดมามีมนุษย์ยุคใหม่มาขุดค้นเจอหนังสือพิมพ์ที่หนูเคยเขียนข่าว ใครจะรู้หนังสือพิมพ์ที่มีข่าวของหนูอาจเป็นหลักฐานประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญก็ได้

เมื่อเรียนจบออกมาทำงานเป็นนักข่าว คลุกคลีในสนามจริงนานเข้า เราก็เริ่มเป็นเครื่องจักรผลิตตัวอักษร หลายหนเป็นเครื่องจักรโปเก ไม่รู้ว่าขาดน้ำมันหรือใกล้สิ้นอายุขัย ตั้งคำถามกับตัวเองว่า ตัวหนังสือที่เคยคิดว่ามีคุณค่ากลายเป็นเพียงกระดาษเปื้อนหมึกไปแล้วหรือเปล่า สิ่งที่เรารายงาน ตัวอักษรของเรามีค่าพอจะตีพิมพ์หรือ

จนกระทั่งวันหนึ่งได้ไปทำข่าวงานเปิดตัวหนังสือเข็มทิศชีวิต ของคุณฐิตินาถ ณ พัทลุง ไม่รู้ว่าคุณฐิตินาถดูโหงวเฮ้งฉันออกหรืออย่างไร เธอจึงบอกกับฉันซึ่งกำลังขาดความเชื่อในงานที่ทำว่า งานเขียนหนังสือเป็นงานที่ดีมาก เราไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เราเขียนวันนี้ อาจเปลี่ยนแปลงชีวิตคนๆ หนึ่งได้ เธอเล่าว่าผู้หญิงคนหนึ่งกำลังคิดฆ่าตัวตาย แต่เมื่อได้อ่านเรื่องที่เธอเขียนก็เปลี่ยนใจ เธอย้ำว่าตัวหนังสือของเราสามารถพลิกชีวิตคนได้จริงๆ 
   
ฉันไม่เคยคิดว่าบล็อกที่พวกเราร่วมกันเขียน ตัวหนังสือของพวกเราจะมีพลังหรือเป็นแรงบันดาลใจให้ใครได้ เราไม่ได้ทำงานยิ่งใหญ่ขนาดนั้น หากแต่เพียงว่า อย่างน้อยที่สุด ถ้าตัวหนังสือของพวกเราจะเป็นเพียง สะพาน เชื่อมต่อไปสู่ความคิด ความฝัน และรอยยิ้มที่มุมปาก แม้เพียงเล็กน้อยในแต่ละวัน เท่านี้ก็เพียงพอสำหรับขบวนตัวหนังสือของพวกเราแล้ว

วันนี้ฉันจึงยังไม่ได้ส่งใบลาและมุ่งมั่นเขียนบล็อกต่อไป (ขณะที่งานเขียนที่ได้เงินก็เขียนไม่เสร็จซักที เฮ้อ)



  







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น