วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554

จุดไฟให้ความฝัน

ฉันคิดว่าหนึ่งในสิ่งดีที่สุดสิ่งหนึ่งของความเป็นมนุษย์คือการมีความฝัน
ความฝันในที่นี้ไม่ได้หมายถึงความฝันในยามหลับ แต่เป็นความฝันในยามตื่น เป็นความหอมหวานที่ทุกคนวาดขึ้นจากความปรารถนา 
บางฝันอาจละเมอเพ้อพก บางฝันน่าตื่นเต้น ขณะที่บางฝันไม่น่าเป็นไปได้


ฉันพบว่าความฝันเป็นสมบัติล้ำค่าของวัยเยาว์ เมื่อครั้งยังเด็ก เรามีความฝันมากมาย ฝันอยากเป็นโน่นเป็นนี่ ฝันจะเดินทางไกลรอบโลก ฝันอยากทำสิ่งยิ่งใหญ่ สิ่งดีงาม
แต่ยิ่งโต เรากลับค่อยๆ หลงลืมความฝัน เหมือนดาวค่อยๆ ดับลงทีละดวง
เราลืมเลือน เราละเลย หรือเราล้มเลิกกันแน่  

เพื่อนหลายคนเปรยว่าเหนื่อย อยากหยุดพัก อยากเดินทาง อยากมีชีวิตอย่างที่เคยฝันไว้ แต่ก็ไม่ได้ทำและทำไม่ได้ ด้วยภาระที่ต้องรับผิดชอบ ทั้งต่อหน้าที่การงานและครอบครัว  
ใช่หรือไม่ที่ว่า ยิ่งอายุมากขึ้น เรายิ่งกล้าเสี่ยงน้อยลง

สามปีที่แล้วฉันได้สัมภาษณ์โอ๊ต-กิตติพงษ์ กองแก้ว หนุ่มไทยที่ปั่นจักรยานจากเมืองไทยไปลาซา ผ่านการแชทกันทาง msn โอ๊ตเล่าว่าแม้จะสนุกกับงานและเพิ่งได้เลื่อนตำแหน่ง แต่ก็ตัดสินใจลาออกเพื่อออกไปดูโลก และทำตามความฝันของนักปั่นทั่วโลก ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตจะค่อยๆ เคลื่อนไปบนเส้นทางสูงชัน สู่จุดหมายปลายทางคือทิเบตด้วยพาหนะสองล้อ

โอ๊ตออกเดินทางตามคำชวนของเพื่อนชาวฮ่องกง--เหยาหวังก้อง--ที่ชวนกันไปหาทำเลเปิดร้านกาแฟที่ลาซา เขาและเพื่อนใช้ชีวิตสุดทรหดบนอานจักรยาน ปั่นขึ้นลงภูเขาลูกแล้วลูกเล่าวันละไม่ต่ำกว่า 75 กิโลเมตร ตั้งแต่สิบโมงเช้าถึงหกโมงเย็น หนาวเหน็บ เหนื่อยยาก เนื้อตัวระบม เป็นเช่นนี้ติดต่อกันเป็นเวลา 5 เดือน ในที่สุดทั้งสองคนก็ไปถึงลาซาสมดังความมุ่งหมาย
โอ๊ต (ซ้าย) และก้อง (ขวา) ที่ลาซา

ล่าสุดโอ๊ตเพิ่งกลับมาเมืองไทย หลังจากเปิดร้านกาแฟ Spinn Café ใจกลางลาซาโอลด์ทาวน์ได้เกือบ 5 ปี ร้านเล็กๆ ของโอ๊ตและก้องกลายเป็นคอมมูนิตี้ของนักท่องเที่ยวและคนรักจักรยานจากทั่วโลก 

การตัดสินใจพิชิตหลังคาโลกในวันนั้นได้เปลี่ยนชีวิตโอ๊ตไปตลอดกาล (อ่านเรื่องราวการผจญภัยบนอานจักรยานของโอ๊ตได้ในหนังสือ ทิเบตสองขา)

ปลายปีที่แล้วรุ่นน้องจากเชียงใหม่ อ้อม-ศิริวรรณ  โลหาชีวะ โทรศัพท์มาบอกว่าจะขอมาพักที่บ้าน เพื่อจัดการเรื่องวีซ่าไปอังกฤษให้เสร็จ ฉันคิดว่าอ้อมจะไปเที่ยว จนเมื่อเจอกัน อ้อมบอกว่าจะไปเรียนต่อ 1 ปี

อ้อมเปิดร้าน Things Called Art ที่เชียงใหม่กับวิว เพื่อนร่วมชีวิตนับตั้งแต่เรียนจบมากว่าสิบปีแล้ว ฉันสงสัยว่าอะไรทำให้คนในวัยต้น 30 ที่สลัดชุดนักศึกษามาแล้วไม่ต่ำกว่าสิบปี มีบ้าน มีกิจการที่ต้องดูแล มีคนรักร่วมชีวิต จู่ๆ คิดจะไปเรียนต่อ

คำตอบของอ้อมทำให้หัวใจฉันเบิกบาน

สี่ปีที่แล้วอ้อมเคยจดบันทึกสิ่งที่ตัวเองปรารถนาอยากทำให้สำเร็จ นอกจากการอ่านโน้ตให้เป็นและหัดเล่นเปียโน ซึ่งอ้อมได้ทำและทำได้มาหลายปีแล้ว อีกหนึ่งฝันคือการไปลองใช้ชีวิตในต่างแดน และพัฒนาภาษาอังกฤษของตัวเองให้ดีขึ้น อ้อมตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องทำให้ได้ภายในปี 2012

ก่อนปี 2011 จะมาถึงเพียงเดือนเดียว อ้อมก็ขึ้นเครื่องบินไปเผชิญความหนาวเหน็บและโลกแปลกหน้าที่อังกฤษเพียงลำพัง
เหงา เศร้า คิดถึงบ้าน แต่อ้อมยังคงมุ่งหน้าไปหาความฝันและเป้าหมายที่ตั้งใจไว้

ฝันของโอ๊ตช่างสูง ฝันของอ้อมช่างหนาว แต่กลับรู้สึกอบอุ่นเมื่อได้รับรู้ เพราะฝันหนึ่งช่วยต่อเติมไฟให้อีกฝันหนึ่ง ให้ลองค้นเข้าไปในซอกหลืบของชีวิต สำรวจตรวจหาความฝันที่ตกค้าง

ความฝันมีอยู่จริงและยังไม่มอดดับ
เพราะฝันเป็นของเรา ใครก็แย่งไม่ได้
และฝันที่เป็นของเรา ใครก็ทำให้ไม่ได้
นอกจากตัวเราจริงๆ




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น