วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2554

ปรุงอาหาร ปรุงชีวิต

ฉันคลุกคลีกับธุรกิจร้านอาหารมาตั้งแต่จำความได้ ทุกอาทิตย์พ่อกับแม่จะพาไปร้านข้าวต้มของอาม่าบนถนนพลับพลาไชย เด็กอย่างฉันไม่มีหน้าที่ต้องช่วยหยิบจับอะไร นอกจากเล่นโดดหนังยางกับลูกพี่ลูกน้อง ไม่ก็เอานิ้วแหย่เปลือกหอยแครงให้มันหุบเล่น

ถ้าร้านข้าวต้มของอาม่ายังอยู่จะต้องเป็นร้านที่เก๋ามาก เพราะเป็นร้านข้าวต้มกุ๊ยจีนแท้ โต๊ะอาหารเป็นโต๊ะหินอ่อน เก้าอี้ไม้โบราณแบบมีพนักพิง อาม่าจะนั่งประจำการอยู่ในเคาน์เตอร์ไม้ตั้งชิดติดผนัง มีบานไม้ติดบานพับผลักเปิด-ปิดแบบที่เห็นในหนังคาวบอยกั้นอาณาเขต ภายในเคาน์เตอร์ของอาม่านอกจากจะมีป้านชาแบบจีนที่มีถังสแตนเลสหุ้มผ้าหนานุ่ม ทำหน้าที่เป็นถังอุ่นทิพย์ช่วยรักษาความร้อนแล้ว ในโต๊ะบัญชาการแห่งนี้ยังมีเหล้าโรงและเหล้าขาวหลายขนาน เดี๋ยวๆ ก็จะมีลูกค้าหน้าแฮงค์ๆ เดินมาสั่งเหล้ากรึ๊บกันคนละเป๊ก สองเป๊ก พอให้เปรี้ยวปากแล้วจากไป


โตพอรู้ความราวประถมหก พ่อกับแม่ก็เปิดร้านอาหารของครอบครัวเราเอง เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อและข้าวหน้าไก่ มีดีกรีความอร่อย เปิบพิสดาร แม่ช้อยชวนชิมรับประกัน คราวนี้ฉันมีหน้าที่ของตัวเองแล้ว นั่นคืองานเสิร์ฟ และช่วยเก็บร้านในตอนค่ำ

ตลอด 15 ปีที่บ้านของเราทำกิจการร้านอาหาร ฉันไม่เคยสนใจใคร่รู้เลยว่าน้ำซุปก๋วยเตี๋ยวปรุงอย่างไร สูตรเนื้อตุ๋นแสนอร่อยต้องใส่อะไรบ้าง กระเพาะปลามีกรรมวิธีการทำอย่างไร ไหนจะข้าวหน้าไก่และปอเปี๊ยะสดอีกล่ะ เรียกว่าเรื่องทำอาหารไม่เคยอยู่ในสมอง

แม่เคยบอกว่าให้หัดเข้าครัวกับแม่ จะได้หัดทำอาหาร พอพ่อได้ยินก็แย้งว่า ไม่ต้องหรอก ตอนลื้อแต่งงานยังหุงข้าวไม่เป็นเลย ฉันยิ่งได้ใจ สมัครเป็นฝ่ายกินตลอดมา จวบจนแต่งงานแต่งการ ยังคงจองแพคเกจผัวทำ เมียกินอยู่เรื่อยมา

ผ่านไปเป็น 10 ปี เริ่มต้นศักราชปีชงปีนี้ฉันปฏิวัติตัวเองใหม่ ทำหน้าที่ศรีภรรยายุคดิจิทัล ช่วงเช้าไปซูเปอร์มาร์เก็ต บ่ายเสิร์ชหาสูตรทำอาหาร เย็นสวมวิญญาณแม่ครัว ล้าง หั่น ตำ สับ ซอย ผัด ลีลาลุกลี้ลุกลนแบบไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน แต่ก็สำเร็จเป็นอาหารที่กินมาจนย่างเข้าเดือนที่ 4 ยังไม่มีท้องเสีย 
จานชมพูคือเครื่องปรุงสำหรับโขลกน้ำพริกอ่อง
 
เมื่อลองได้เข้าครัว ฉันเริ่มเข้าใจความรู้สึกของคนชอบทำอาหาร ไม่น่าเชื่อว่าลูกกิน เพื่อนกิน และเมียกินอย่างฉันจะค้นพบความสนุกและความสุขของการทำอาหารกับเขาเหมือนกัน และไม่น่าเชื่ออีกว่าคนที่ทำเป็นแต่เมนูบ้านๆ สามสี่อย่าง เหมือนเล่นกีตาร์เป็นแค่ 4 คอร์ดอย่างฉัน จะหาญกล้าทำอาหารเหลาอย่างกุ้งผัดผงกะหรี่ ไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ จานแซ่บแปลกใหม่อย่างตำมะเขือเปาะไก่ย่าง ข้าวผัดน้ำพริกแกงเขียวหวานปลาแดดเดียวก็เคยทำมาแล้ว บางวันเปลี่ยนบรรยากาศลองทำเมนูอิตาเลียนบิสโทรก็มี พะแนงหมู แกงเทโพ ไข่ยัดไส้ ข้าวคลุกกะปิ ต้มข่าไก่แบบไทยๆ ก็เคย

ล่าสุดเที่ยงวันนี้ฉันลองทำน้ำพริกอ่องเป็นครั้งแรก หลังจากที่เพื่อนหนุ่มชาวเหนือ รังสิทธิ์ มาทำให้ชมและชิมเมื่อกลางเดือนที่แล้ว กรรมวิธีการทำและเครื่องปรุงไม่ยุ่งยาก ประกอบด้วยกะปิ รากผักชี พริกแห้ง หอมแดง กระเทียม และที่ขาดไม่ได้คือถั่วเน่า (ชื่อไม่น่ากิน แต่ถ้าไม่มีเสียหาย) โขลกเครื่องปรุงเหล่านี้ให้แหลก แล้วผัดกับน้ำมันให้หอม จากนั้นใส่หมูสับลงไปคลุกเคล้ากับน้ำพริกให้ทั่ว แล้วจึงใส่มะเขือเทศสีดาลงผัด ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาล เคี่ยวไฟอ่อนสักพักให้มะเขือเทศเปื่อยและคายความเปรี้ยวออกมา สาดต้นหอมลงผัดเป็นอันเสร็จ เสิร์ฟพร้อมแตงกวาเย็นเจี๊ยบ แค่นี้ก็แหล่มแล้ว
อาหารที่ทำเอง แม้จะไม่ได้อร่อยมากมายนัก อย่างน้อยก็สะอาด ปราศจากอูมาหมิ อาหารที่เราเคยคิดว่ายาก ถ้าลองได้ลงมือทำ มันต้องสำเร็จออกมาเป็นอะไรสักอย่าง จานแรกอาจยังไม่อร่อยครบรส แต่เรารู้แล้วว่าคราวหน้าจะเหยาะจะปรุงอะไรเพิ่ม

เช่นเดียวกับเรื่องต่างๆ ในชีวิต เราจะเห็นผลก็ต่อเมื่อลงมือปฏิบัติ การลองผิดลองถูกจะนำพาประสบการณ์และความชำนาญมาให้ในที่สุด

อาหารสอนฉันว่าขอเพียงให้ลงมือทำเท่านั้น          

เรื่อง: เทียนอันหมวย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น