วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2554

เผชิญหน้ากับความตาย

  ชั่วชีวิตของคนเราคงต้องผ่านการเผชิญหน้ากับความตายไม่มากก็น้อย ทั้งคนไม่รู้จัก คนรู้จัก ตลอดจนญาติสนิทมิตรสหาย ที่บาดลึกความรู้สึกมากที่สุดนั่นก็คือคนที่เรารัก..

   กว่าค่อนชีวิต ฉันพบว่าฉันได้เผชิญหน้ากับความตายอยู่หลายครั้งหลายครา ครั้งแรกเมื่อตอนอายุเพียง 7 ขวบ ฉันได้ไปเฝ้าคุณยายที่กำลังจะสิ้นลมหายใจ ญาติผู้ใหญ่ต่างร้องไห้กันระงม ส่วนฉันได้แต่เฝ้ามองดูคุณยายสิ้นลมไปต่อหน้า โดยไม่รับรู้เลยว่านั่นคือความตาย

   ในวัยเด็กฉันยังเคยวิ่งไปดูศพคนผูกคอตาย ทั้งที่แม่ห้ามนักหนาว่าอย่าไปดูเป็นอันขาด ยังไม่ทันสิ้นเสียงแม่ ฉันก็วิ่งไปถึงบ้านไม้หลังเล็ก เป็นบ้านของอาซิ้มที่ขายกระเพาะปลาที่ฉันคุ้นเคยเป็นอย่างดี  มีผู้คนมุงดูแน่นขนัด ฉันมุดเข้าไปได้เกือบหน้าสุด  ได้ยินเสียงผู้ใหญ่คุยกันว่าอาซิ้มผูกคอตายโดยแขวนร่างไว้กับขื่อบ้าน ฉันเห็นเขายกร่างอาซิ้มที่ถูกห่อด้วยผ้าสีขาวมัดไว้จนเห็นเป็นรูปร่างชัดเจน เด็กๆ ต่างวิ่งหนีกลับบ้านกันเมื่อเขายกศพผ่านมาใกล้ๆ

   เมื่อเติบโตขึ้นฉันได้เรียนรู้ว่าโศกนาฏกรรมที่สุดของชีวิตมนุษย์คือ "ความตาย" หลังจากพ่อของฉันได้จากไปอย่างปัจจุบันทันด่วน ฉันเดินไปจับร่างพ่อที่แข็งและเย็นชืด นับเป็นการเผชิญหน้ากับความตายที่รุนแรงโหดร้ายที่สุดในชีวิต

   ฉันกินไม่ได้นอนไม่หลับอยู่หลายเดือน พยายามค้นหาหนังสือเกี่ยวกับความตายมาอ่านมากมายหลายเล่ม และพบสัจธรรมว่า แท้จริงแล้ว "ความตาย"เป็นเรื่องปกติธรรมดา ที่ฉันชอบที่สุดก็คือมีคนเปรียบเปรยความตายไว้ว่า "เหมือนแม่ที่เรียกลูกที่ออกไปวิ่งเล่นให้กลับเข้ามานอน" ฉันมักจำประโยคนี้ไว้ปลอบประโลมคนรู้จักที่ทำใจไม่ได้ในยามที่ต้องเผชิญหน้ากับความตาย

   ในที่สุดวันที่ตัวเองต้องเผชิญหน้ากับความตายก็มาถึง วันที่ฉันป่วยหนักต้องเข้าโรงพยาบาล แพทย์ลงความเห็นว่าฉันต้องได้รับการผ่าตัดโดยด่วน มิเช่นนั้นฉันจะต้องเสียชีวิต ความเจ็บปวดทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ มากจนแทบจะทนทานไม่ไหว  ขณะความตายไล่ต้อนฉันไปจนมุม ยิ่งต่อสู้ยื้อแย่งชีวิตก็ยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นไปอีก  อยู่ๆ ฉันก็คิดในใจว่า "ตายก็ตาย ฉันพร้อมจะตายแล้ว ไม่อยากอยู่อีกต่อไป" เพียงอึดใจร่างกายก็พลันหายเจ็บปวด นับเป็นเรื่องแปลกมหัศจรรย์ ยามใดที่เราละวางชีวิต ความตายกลับอ่อนข้อให้เราเสมอ

   ความตายปล่อยให้ฉันกลับมามีชีวิตต่อไป จนฉันเกือบหลงลืมมันไปแล้ว แต่ในที่สุดมันก็กลับมาอีกครั้ง ในวันที่ฉันเฝ้ามองดูแม่วัย 88 ปี ที่ลมหายใจอ่อนแรงลงทุกวัน แม่มักกระซิบกับฉันบ่อยๆว่า "แม่จะไม่ไหวแล้วลูก" ฉันตอบแม่ว่า "อย่ากลัวความตายเลยแม่  ความตายก็แค่เป็นการเปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติ โลกเป็นเรื่องชั่วคราว เรามาก็เพื่อจะจากไป ร่างกายของเราคือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่มารวมกัน วันหนึ่งมันก็ต้องสูญสลายไป"  แม่ฟังแล้วยิ้มและหลับตาอย่างอ่อนล้า

  ฉันคงยังเผชิญหน้ากับความตายอยู่ทุกวัน.. ไม่ยอมอ่อนข้อ.. ไม่ท้อถอย.. บทกวีบทหนึ่งที่ฉันใช้ปลอบประโลมตัวเองในเวลานี้ก็คือ
   ความตายเอ๋ย..เจ้านั่นแหละที่ต้องตาย !

Paokuntima
27/04/2011

2 ความคิดเห็น:

  1. ^__^ สู้อย่างมีสติดีทีเดียวค่ะ..อนุโมทนาสาธุด้วยนะคะที่เป็นผู้นำทางคุณแม่ได้อย่างดี เพราะ การตายเป็นเป็นการสอบครั้งเดียวที่ไม่มีโอกาสแก้ตัวใหม่อีกรอบจริงๆๆ

    ตอบลบ
  2. ขอบคุณค่ะ ชอบประโยคนี้จริงๆ ค่ะ การตายเป็นการสอบครั้งเดียว

    ตอบลบ